รัฐบาลลดแรงต้านม็อบพระ
ไทยรัฐ วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2547
 
สรุปสาระข่าว
 
         กรณีการชุมนุมของพระสงฆ์ ที่คัดค้านร่าง พ.ร.บ.จัดรูปที่ดิน เพื่อการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งต้องการ ให้ตัดคำว่า "ที่ดินวัด ที่ธรณีสงฆ์ และศาสนสมบัติกลาง" ออกจากร่างกฎหมายนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหน้าที่ประธานการประชุม สภาผู้แทนราษฎร โดยเลื่อนระเบียบวาระร่าง พ.ร.บ.จัดรูป ที่ดิน เพื่อการพัฒนาพื้นที่ขึ้นมาพิจารณาเป็นอันดับแรก ทั้งนี้นายปกิต พัฒนกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย อภิปรายว่า วุฒิสภาได้แก้ไขร่าง พ.ร.บ.ไปหลายมาตรา ทำให้มีข่าวว่าร่าง พ.ร.บ.นี้ไปกระทบที่วัด ซึ่งพระสงฆ์ พุทธศาสนิกชนไม่เห็นด้วยกับบางมาตรา อย่างไรก็ตามร่าง พ.ร.บ.นี้มีเจตนาดีในการจัดรูปที่ดิน ที่กระจัดกระจายอยู่ เพื่อจัดระเบียบและอำนวยความสะดวก โดยรัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย แต่เมื่อไปกระทบสถาบันหลักของชาติ จึงสมควรพิจารณาข้อเสนอของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย นายกฯก็อยากให้ตั้งกรรมาธิการร่วมสองสภา ล่าสุดวิปรัฐบาลมีความเห็นสอดคล้องว่า ควรตัดคำว่าที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ ศาสนสมบัติกลาง ออกไปทั้งหมด
 
ข้อคิดเห็น
 
            เพราะความเคลือบแคลงของประชาชนต่อรัฐบาลต่อกรณีธรณีสงฆ์ในอดีต จึงเกิดกระแสไม่เห็นด้วยกับร่าง พรบ.นี้ ทำให้พรบ.นี้มีอัน "แท้ง" ไปอย่างน่าเสียดาย
            โดยหลักการแล้ว ร่าง พรบ.นี้ จัดทำขึ้นเพื่อการพัฒนาเมืองเป็นสำคัญ เป็น พรบ.ที่ดีที่มุ่งพัฒนาให้เมืองมีการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม แก้ไขปัญหาการกักตุนเก็งกำไรที่ดินไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ ช่วยทะลุทะลวงตรอกซอยต่าง ๆ ให้มีการคมนาคมที่สะดวก เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ไม่ได้มุ่งหวังไปเอาธรณีสงฆ์
            สรุปแล้ว ถ้ารัฐบาลตั้งมั่นอยู่ในความบริสุทธิ์ใจรับใช้ประชาชนแล้ว ความเคลือบแฝงก็ไม่มี อุปสรรคก็ถูกขจัด หาไม่จะเกิดปัญหา
 
รายละเอียดของเนื้อข่าว
 

            กรณีการชุมนุมของพระสงฆ์ ที่คัดค้านร่าง พ.ร.บ.จัดรูปที่ดิน เพื่อการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งต้องการ ให้ตัดคำว่า "ที่ดินวัด ที่ธรณีสงฆ์ และศาสนสมบัติกลาง" ออกจากร่างกฎหมายนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหน้าที่ประธานการประชุม สภาผู้แทนราษฎร โดยเลื่อนระเบียบวาระร่าง พ.ร.บ.จัดรูป ที่ดิน เพื่อการพัฒนาพื้นที่ขึ้นมาพิจารณาเป็นอันดับแรก ทั้งนี้นายปกิต พัฒนกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย อภิปรายว่า วุฒิสภาได้แก้ไขร่าง พ.ร.บ.ไปหลายมาตรา ทำให้มีข่าวว่าร่าง พ.ร.บ.นี้ไปกระทบที่วัด ซึ่งพระสงฆ์ พุทธศาสนิกชนไม่เห็นด้วยกับบางมาตรา อย่างไรก็ตามร่าง พ.ร.บ.นี้มีเจตนาดีในการจัดรูปที่ดิน ที่กระจัดกระจายอยู่ เพื่อจัดระเบียบและอำนวยความสะดวก โดยรัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย แต่เมื่อไปกระทบสถาบันหลักของชาติ จึงสมควรพิจารณาข้อเสนอของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย นายกฯก็อยากให้ตั้งกรรมาธิการร่วมสองสภา ล่าสุดวิปรัฐบาลมีความเห็นสอดคล้องว่า ควรตัดคำว่าที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ ศาสนสมบัติกลาง ออกไปทั้งหมด
 
ตั้ง กมธ.ร่วมแก้ไขกฎหมาย
            นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่นายโภคิน พลกุล รมว. มหาดไทย บอกว่าจะไม่เอาที่วัดไปทำสนามกอล์ฟ แต่คนฟังคงไม่เชื่อ เพราะในอดีตรัฐบาลเคยได้ทำแบบนี้มาแล้ว ขณะที่นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เอาใจใส่ในการเสนอ กฎหมาย จนเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรณีของร่าง พ.ร.บ.นี้จะไปโทษวุฒิสภาไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องส่งคนไปทำความเข้าใจ
            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สมาชิกอภิปรายร่าง พ.ร.บ.นี้ได้ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ที่ประชุมได้มีมติ ให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสองสภา ด้วยคะแนนเสียง 343 ต่อ 1 งดออกเสียง 3 โดยมีการตั้งกรรมาธิการทั้งหมด 24 คน แบ่งเป็นฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรและฝ่ายวุฒิสภาฝ่ายละ 12 คน   
 
"เสนาะ" วิ่งโร่แจ้งผลการประชุม
            ส่วนการชุมนุมของคณะสงฆ์และชาวพุทธนั้น ยังคงปักหลักชุมนุมกันที่รัฐสภาเป็นวันที่ 3 เพื่อรอลุ้นผลการประชุมสภา จนกระทั่งเวลา 16.00 น. หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่าง พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อการพัฒนาพื้นที่เสร็จสิ้นลง นายเสนาะ เทียนทอง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ได้เดินทางออกมาที่หน้ารัฐสภา เพื่อกราบนมัสการพระศรีปริยัติโมลี รอง ผอ.ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย แต่ขณะพูดคุยได้ประมาณ 5 นาที ได้มีนายพิชัย อรุณไวกิจ อายุ 59 ปี ชูป้ายกระดาษ มีข้อความให้รัฐบาลล้มร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว พร้อมทั้งร้องเสียงเอะอะโวยวาย พยายามจะเข้าไปหานายเสนาะ ทำให้นายเสนาะเดินถอยกลับเข้าสภา โดยเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งคอยเปิดทางให้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปล็อกตัวนายพิชัยไว้ ทำให้ นายพิชัยเป็นลมล้มพับลง เนื่องจากเป็นโรคหัวใจ ประกอบ กับเหน็ดเหนื่อยจากการยืนตากแดดประท้วงเป็นเวลานาน          
 
คณะสงฆ์ตั้งกรรมการพิจารณาควบคู่
            ด้านพระศรีปริยัติโมลี รอง ผอ.ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ผลที่ออกมาจะประสบความสำเร็จบางส่วน แต่ถือว่าภารกิจยังไม่จบ คณะสงฆ์จะเดินทางกลับไปก่อน หากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกลับสู่การพิจารณาของสภาอีก ก็จะกลับมาชุมนุมกันใหม่ เพื่อติดตามการทำงานของ ส.ส.และ ส.ว.อย่างใกล้ชิด ขณะที่พระราชกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของคณะสงฆ์ได้รับการตอบสนองในขั้นต้นแล้ว แต่การออกกฎหมายมีขั้นตอน ละเอียดอ่อน คณะกรรมาธิการร่วมสองสภาคงต้องใช้เวลาพิจารณาอีก 1 เดือนขึ้นไป ดังนั้น คณะสงฆ์จะตั้งคณะกรรมการ 1 ชุด เพื่อติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด หากเห็นว่า ไม่สอดคล้องต้องกัน ก็จะออกมาร่วมกันปฏิบัติธรรมที่หน้ารัฐสภาอีก  
 
"วิษณุ" แนะตั้งสำนักงานดูแลที่วัด
            ก่อนหน้านี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ยอมรับว่าวิธีการเขียนกฎหมายฉบับนี้ไม่ดี เพราะทำให้เข้าใจว่าให้ถอนสภาพที่ดินก่อนแล้วค่อยมาขอความยินยอมจากพระในภายหลัง ซึ่งไม่ค่อยถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจัดทำมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งถึงสมัยรัฐบาลนี้ได้ส่งร่างเดิมต่อสภาผู้แทนราษฎร แต่วุฒิสภามีความหวังดี ไปเติมคำว่าที่ธรณีสงฆ์ ที่ศาสนสมบัติกลาง เข้าไปด้วย ทำให้เกิดความไม่สบายใจขึ้น โดยหลักแล้ว กฎหมายฉบับนี้มุ่งใช้กับที่ดินของเอกชนมากกว่า หากรัฐต้องการใช้ที่ดินวัดก็ใช้วิธีเวนคืนที่ดินแทน ส่วนการชดเชยที่ดินให้วัดภายหลังถูกจัดรูปที่ดิน จะให้นำที่ดินส่วนใดมาชดเชยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ดินที่ติดวัด แต่พระไม่สบายใจ เนื่องจากเป็นการชดเชยในลักษณะให้เนื้อที่เท่ากัน แต่ มูลค่าอาจไม่เท่ากัน ดังนั้น จึงอยากเสนอว่า ควรจัดตั้งสำนักงานกลางขึ้นมา ดูแลศาสนสมบัติกลางแทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีและเก็บผลประโยชน์แทนวัด แต่สำนักงานนี้ต้องไม่ใช่ส่วนราชการ และพระสามารถควบคุมได้ เบื้องต้นได้หารือกับพระเทพดิลก วัดบวรนิเวศแล้ว ท่านเห็นด้วย          
"แก้วสรร" จวกนายกฯบิดเบือน
            นายแก้วสรร อติโพธิ ส.ว.กทม. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายเสนาะ เทียนทอง ประธานวิปรัฐบาล โยนบาปมาให้วุฒิสภาเรื่องการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อการพัฒนาพื้นที่ ด้วยการเติมคำว่า "ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์และที่ศาสนสมบัติกลาง" ในร่างกฎหมายว่า ความจริงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเขียนไว้เองในมาตรา 54 (1)-(6) วุฒิสภาแค่เพิ่มเติมคำว่า "ที่วัดที่ธรณีสงฆ์และที่ศาสนสมบัติกลาง" เข้าไปเพื่อให้กฎหมายสมบูรณ์เท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลอย่าบิดเบือน ต้องพูดความจริงว่า ร่างของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเขียนกฎหมายตกหล่น แต่วุฒิสภามาทำให้ดีขึ้นเพื่อคุ้มครองที่วัด          
 
อัดยับไม่รู้กฎหมายแถมแก้ไขผิดๆ
            นายแก้วสรรกล่าวอีกว่า ส่วนที่นายเสนาะรับปากตัวแทนผู้ชุมนุมว่าจะตัดคำว่าที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลางออกทั้งหมด หมายความว่าจะต้องตัด (6) ของมาตรา 54 ออกไป แต่วิธีนี้จะทำให้ไม่เข้าหลักของมาตรา 50 วรรค 2 หมายความว่า เป็นการยินยอมให้ตัดคำว่าที่วัดได้ จึงถือเป็นข้อเสนอให้กับผู้ชุมนุม อันเนื่องมาจากความไม่รู้กฎหมาย ความจริงแล้วสิ่งที่ควรดำเนินการคือแก้ไขมาตรา 50 ด้วยการเติมวรรค 3 เข้าไปว่าที่วัด ที่ธรณีสงฆ์และที่ศาสนสมบัติกลาง จึงจะเป็นผลทำให้ที่วัดไม่อยู่ในการบังคับของการจัดรูป ถ้ารัฐบาล และนายเสนาะอ่านกฎหมายไม่เข้าใจ บุ่มบ่ามรับปาก และดำเนินการไปจะเกิดปัญหา