|
|
สรุปสาระข่าว |
|
แม่ทัพปูนใหญ่ "ชุมพล
ณ ลำเลียง" สวนกระแส "เศรษฐกิจขาขึ้น" ข้องใจกำลังซื้อแท้หรือเทียมหลังบ้านหรูราคาแพงขายกระฉูด-ตลาดหุ้นมูลค่าเพิ่มเท่าตัว
ชี้จีดีพีสูงแต่อานิสงส์ไม่ถึงรากหญ้า กำไรกระจุกเฉพาะกลุ่ม
เตือนถ้าไม่เตรียม "ติดเบรก" มีสิทธิลงเหวอีกรอบ
ขณะที่ดอกเบี้ยต่ำยาวนานจะก่อปัญหาในอนาคต
. . . การที่คนจะรวยจากตลาดหุ้นสุดท้ายก็ต้องมีคนจ่าย
เพราะการรวยจากตลาดหุ้นไม่ใช่รวยจากการผลิต จากการขายของได้ แต่มาจากคนอื่นที่พร้อมจะจ่ายในราคาที่สูงกว่าที่เราซื้อมาไปเรื่อยๆ
และหากทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันต้องตก มันต้องจบ เกมต้องโอเวอร์. . .
. . . ทุกคนบอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องใช้เบรก แต่ถามว่าวันนี้ "เบรก" ของเราคืออะไร
เรามีเบรกอะไรบ้างและใครจะเป็นคนดึง/คนคุมเบรก. . .
และดูข่าวเกี่ยวเนื่อง: นายแบงก์ผวา"ฟองสบู่"รอบใหม่ และ วันนี้ของ "ปูนใหญ่" "มีเงินแต่โอกาสการลงทุนยังไม่มี" |
|
ข้อคิดเห็น |
|
ท่านนายกก็ยังเคยพูด
ว่า อย่าพูด "half truth" เพราะอีก half ก็คือ
"half-lie" ดังนั้น การตีภาพว่าเศรษฐกิจดีมากมาย
จะทำให้คนประมาท อาจลงเหวได้ ผลงานรัฐบาลรัฐบาลประทับใจหลายเรื่อง
ไม่ต้อง "ตีปี๊บ" ก็ได้ |
|
รายละเอียดของเนื้อข่าว |
|
แม่ทัพปูนใหญ่ "ชุมพล
ณ ลำเลียง" สวนกระแส "เศรษฐกิจขาขึ้น" ข้องใจกำลังซื้อแท้หรือเทียมหลังบ้านหรูราคาแพงขายกระฉูด-ตลาดหุ้นมูลค่าเพิ่มเท่าตัว
ชี้จีดีพีสูงแต่อานิสงส์ไม่ถึงรากหญ้า กำไรกระจุกเฉพาะกลุ่ม
เตือนถ้าไม่เตรียม "ติดเบรก" มีสิทธิลงเหวอีกรอบ
ขณะที่ดอกเบี้ยต่ำยาวนานจะก่อปัญหาในอนาคต
วันนี้ข้อถกเถียงไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจฟื้นหรือไม่ฟื้น แต่นักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจที่รู้รสและลิ้มลองความเจ็บปวดจากวิกฤตต้มยำกุ้งมาแล้ว
กำลังจับอาการสัญญาณฟื้นตัวเศรษฐกิจขาขึ้นรอบนี้ว่าจะมีบับเบิลหรือฟองสบู่อย่างที่กลุ่มอนุรักษนิยมตั้งคำถาม
หรือว่าเศรษฐกิจกำลังจะวิ่งฉิวอย่างที่รัฐบาลพยายามชี้นำ
ในประเด็นนี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้เคยสัมภาษณ์ ดร.โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้คำตอบว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแล้ว
แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับภาวะราคาต่ำอยู่ แม้ว่าจะไม่รุนแรงขึ้น แต่จะอยู่กับเราไปอีกนาน
หรือที่เรียกว่า disinflation คือมีความกดดันจากราคาต่ำ และถ้าภาวะราคาต่ำต่อเนื่องนานๆ
อาการที่จะพบก็คือ 1.ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะลุ่มๆ ดอนๆ 2.ตลาดแรงงานจะประสบปัญหาคนว่างงานเพิ่มขึ้น
แรงงานใหม่ๆ จะหางานยากขึ้น 3.ผลตอบแทนจากการออมต่ำ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประชาชน/ภาคธุรกิจจะต้องดูแลตัวเองก็คือ
พยายามอย่าใช้จ่ายเกินตัว ต้องมีวินัย
ล่าสุด "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ทวนคำถามนี้อีกครั้งกับนายชุมพล
ณ ลำเลียง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่เป็นมืออาชีพและคลุกคลีในภาคเศรษฐกิจแท้จริง
ได้ให้ข้อเท็จจริงจากการจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วอย่างแน่นอน
แต่ขณะนี้มีสัญญาณที่น่าเป็นห่วงว่ามีการเก็งกำไรในพวกที่ไม่ใช่ภาคการผลิตจริง
เป็นการเก็งกำไรบนกระดาษ ได้สร้างความร่ำรวยจากราคาที่ปั่นกันขึ้นไป โดยไม่ได้มาจากผลผลิตที่แท้จริง
สัญญาณที่ทำให้ชุมพลยกมาเป็นประเด็นก็คือ ราคาบ้านที่ขายดีที่สุดในขณะนี้
ชุมพลบอกว่า "บ้านขายดีที่สุดราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ผมว่าเป็นไปไม่ได้ในข้อเท็จจริงและกำลังเงินที่มีอยู่
อยู่ดีๆ ประชาชนจะมีรายได้มากขนาดนั้น รวยขนาดนั้นมาจากไหน อย่าลืมว่ารายได้ของคนไทยยังเป็นเงินบาท
และไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมาย ฉะนั้น ราคาบ้านเมื่อเทียบกับรายได้มันเกินไปหรือไม่
เมื่อเกินไปก็ชวนให้คิดว่ามันแพงไปหรือไม่ "
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในปีนี้ มูลค่าตลาดหุ้นรวมหรือมาร์เก็ตแคปได้เพิ่มขึ้นจาก
1.5 ล้านล้านบาท เป็นประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท นั่นหมายความว่ามีคนร่ำรวยขึ้นจากตลาดหุ้นกว่า
1 ล้านล้านบาท ชุมพลมองว่าการที่คนจะรวยจากตลาดหุ้นสุดท้ายก็ต้องมีคนจ่าย
เพราะการรวยจากตลาดหุ้นไม่ใช่รวยจากการผลิต จากการขายของได้ แต่มาจากคนอื่นที่พร้อมจะจ่ายในราคาที่สูงกว่าที่เราซื้อมาไปเรื่อยๆ
และหากทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันต้องตก มันต้องจบ เกมต้องโอเวอร์
เมื่อถามว่าตลาดหุ้นกำลังเกิดฟองสบู่หรือไม่ นายชุมพลกล่าวว่า "ผมว่าหุ้นบางตัวราคายังโอเค
บางตัวก็เกินเหตุจริงๆ บางตัวยังถกเถียงกันได้ แต่ว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่วันนี้ซื้อไม่เลือก
เมื่อซื้อไม่เลือก ราคาก็ขึ้นไม่เลือก ทุกคนก็ซื้อราคาถูกหมด ผมคิดว่าถึงจุดที่น่าเป็นห่วงกันบ้าง
แต่ผมยังไม่คิดว่าถึงจุดที่มันจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมคิดว่าเรายังโตไปได้อีก
แต่ว่าให้เบาๆ ลง"
นายชุมพลระบุว่า เศรษฐกิจฟื้นจริง แต่คนที่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจในรอบนี้จะเป็นพวกที่มีทรัพย์สินอยู่แล้วและพวกเก็งกำไร
ไม่ใช่ประชาชนทั่วไป แม้จะบอกว่าจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) จะดีขึ้น
ประเทศรวยขึ้นและลงไปถึงรากหญ้า ก็คงต้องถามว่าถึงรากหญ้านั้นถึงมากแค่ไหน
ถ้าถึงน้อยความมั่นคงก็จะน้อย
นายชุมพลบอกว่า นี่เป็นสัญญาณที่เริ่มไม่ปกติ และถ้าเผื่อของพวกนี้ (ตลาดหุ้น
อสังหาริมทรัพย์) ไม่ทำให้ทั้งหมดสะดุด เศรษฐกิจโดยทั่วไปก็ยังไปได้อยู่
แต่นายชุมพลตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมาไม่เป็นบทเรียนหรือ ? และวันนี้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงหาย
ไปไหน ? ถ้าเป็นบทเรียนวันนี้ประเทศไทยมี "เบรก" อยู่หรือไม่
นายชุมพลมีความเห็นว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการมานั้นเป็นการทำดีแล้ว
และวันนี้ทุกคนบอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องใช้เบรก แต่ถามว่าวันนี้ "เบรก" ของเราคืออะไร
เรามีเบรกอะไรบ้างและใครจะเป็นคนดึง/คนคุมเบรก
นั่นต่างหากคือประเด็นที่ชุมพลต้องการจะสื่อ ส่วนจะใช้เบรกหรือไม่ใช้เบรกนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
"ช่วยบอกหน่อยว่าเรามีเบรกอะไรบ้าง ไม่ใช่เราจะตกเหวแล้วค่อยมาผลิตเบรก เราต้อง
เตรียมเบรกไว้ให้พร้อมก่อน ผมเห็นด้วยว่าเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาใช้เบรก แต่ขอดูหน่อยว่ามีเบรกหรือไม่มีเบรก
ผมก็ห่วงเหมือนกัน เหมือนบอกว่ายังไม่ถึงเวลาใช้ร่มชูชีพ แต่ถามว่ามีหรือไม่มี"
นอกจากนี้ นายชุมพลให้ความเห็นต่อสภาพคล่องทางการเงินในปัจจุบันว่า วันนี้ผู้ฝากเงินท้อใจ
ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำเกินไปแล้ว และยืนยันว่าดอกเบี้ยต่ำเกินไปไม่ดี อย่างญี่ปุ่นที่ดอกเบี้ยต่ำมานานเป็น
10 ปีก็ไม่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ นายชุมพลได้ออกตัวว่าไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์
แต่ตั้งคำถามว่าการที่สภาพคล่องล้นมากๆ ตามปกติจะต้องมีคนดูแลไม่ใช่หรือ
หรือไม่มีคนทำ หรือว่าไม่ทำกัน ถึงได้ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยต่ำจนเกินไป
ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้ออมเงิน
ขณะเดียวกันในภาคเรียลเซ็กเตอร์ที่เป็นภาคการผลิตจริงๆ นายชุมพลกล่าวว่า
ในขณะนี้กำลังการผลิตของภาคเอกชนยังเหลืออยู่ ยังไม่จำเป็นที่จะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่ม
ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เหล็ก กระดาษ หรือปิโตรเคมี เพราะผลิตตามดีมานด์ที่มีจริง |