|
|
สรุปสาระข่าว |
|
ประเมินอนาคตเศรษฐกิจ
ยังมีความผันผวน ฟื้นตามแรงกระตุ้นรัฐ แรงงานใหม่จะเจอปัญหาว่างงาน
แนะธุรกิจเร่งปรับตัวยุคเศรษฐกิจผันผวน
"โฆสิต" ระบุเศรษฐกิจผันผวน เสี่ยงสูงแนะทางรอดประชาชนเน้น "ออมเงิน" คาดไทยเผชิญภาวะราคาต่ำยาวนาน
ถึงปีหน้า ส่งผลเติบโตแบบลุ่มๆ ดอนๆ รอการกระตุ้นจากภาครัฐ แรงงานใหม่จะเจอปัญหาว่างงานและอัตราผลตอบแทนการออมต่ำ
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ
กล่าวว่าแนวทางการบริหารของภาคธุรกิจในยุคแห่งความผันผวนปัจจุบัน นั้นสิ่งสำคัญคือการปรับตัว
ซึ่งขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยค่อนข้างผันผวน แต่มีกระแสว่าเราจะได้ประโยชน์จากความผันผวนนี้
ซึ่งหลายคนคิดเช่นนั้น แต่บางคนก็กลัวจากบทเรียนในอดีต ความรู้สึกในขณะนี้ของภาคธุรกิจไทยคือ "กล้าๆ
กลัวๆ" ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจทำธุรกิจเพราะคิดว่าภาวะเช่นนี้จะอยู่ต่อไปอีกนาน
ซึ่งภาวะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องจะล้อเล่นได้ |
|
ข้อคิดเห็น |
|
ถ้าคิดแต่จะ "เสพสุขไม่สิ้นซาก" "แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวัน
ๆ" จะ "มิประสบเภทภัยมากกว่าวาสนา" หรือ |
|
รายละเอียดของเนื้อข่าว |
|
ประเมินอนาคตเศรษฐกิจ
ยังมีความผันผวน ฟื้นตามแรงกระตุ้นรัฐ แรงงานใหม่จะเจอปัญหาว่างงาน
แนะธุรกิจเร่งปรับตัวยุคเศรษฐกิจผันผวน
"โฆสิต" ระบุเศรษฐกิจผันผวน เสี่ยงสูงแนะทางรอดประชาชนเน้น "ออมเงิน" คาดไทยเผชิญภาวะราคาต่ำยาวนาน
ถึงปีหน้า ส่งผลเติบโตแบบลุ่มๆ ดอนๆ รอการกระตุ้นจากภาครัฐ แรงงานใหม่จะเจอปัญหาว่างงานและอัตราผลตอบแทนการออมต่ำ
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ
กล่าวว่าแนวทางการบริหารของภาคธุรกิจในยุคแห่งความผันผวนปัจจุบัน นั้นสิ่งสำคัญคือการปรับตัว
ซึ่งขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยค่อนข้างผันผวน แต่มีกระแสว่าเราจะได้ประโยชน์จากความผันผวนนี้
ซึ่งหลายคนคิดเช่นนั้น แต่บางคนก็กลัวจากบทเรียนในอดีต ความรู้สึกในขณะนี้ของภาคธุรกิจไทยคือ "กล้าๆ
กลัวๆ" ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจทำธุรกิจเพราะคิดว่าภาวะเช่นนี้จะอยู่ต่อไปอีกนาน
ซึ่งภาวะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องจะล้อเล่นได้
"สิ่งสำคัญคือการบริหาร แบงก์ก็ต้องดู ต้องมองหาบางสิ่งบางอย่าง
ผมคิดว่าขณะนี้ทุกคนกำลังมองหาสิ่งเดียวกันคือมองหาในลักษณะยั่งยืน เนื่องจากมีบทเรียนจากอดีตมาแล้ว" นายโฆสิต
กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ "อนาคตเศรษฐกิจไทย" จัดโดยสมาคมธรรมศาสตร์บริหารธุรกิจ
(ทีบีเอส) ที่โรงแรมไฮแอท เอราวัณ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา
เขากล่าวอีกว่าหากธุรกิจเจอแรงกดดันเช่นนี้สิ่งสำคัญคือการปรับตัว
ทุกธุรกิจมีดำเนินการเช่นนี้ เช่น ธนาคารพาณิชย์ต้องดูแลต้นทุน หาช่องทางหารายได้
หาวิธีการแข่งขันที่ไม่เหนื่อยมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีหลายรูปแบบ อาจใช้นวัตกรรมใหม่
เน้นแข่งที่คุณภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์
เขากล่าวว่า ไม่เห็นด้วยถึงการเรียกร้องให้ใช้จ่ายมากขึ้น
เพราะภาวะเศรษฐกิจขณะนี้มีความไม่แน่นอนสูง หากเป็นเช่นนี้ภาคครัวเรือนต้องเร่งออมกันมากขึ้น
ซึ่งเป็นการออมที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัยของครอบครัว เรื่องการออมเพื่อให้เพียงพอต่อความปลอดภัยนี้ไม่เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
จนกระทั่งการออมมีเกินพอแล้วนั่นแหละ ตอนนั้นจึงจะเริ่มพูดถึงผลตอบแทน
สำหรับความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจนั้น นายโฆสิต
กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยได้รับแรงกดดันในรูปแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนคือความกดดันจาก"ภาวะราคาต่ำ" ซึ่งดูได้จากดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐานของประเทศไทยเมื่อย้อนหลังไป
14 เดือน อยู่ในระดับไม่เกิน 0.5% และในเดือนที่แล้วเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบปีต่อปี
"เศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงกดดันเช่นนี้จนถึงสิ้นปี
และในปีหน้าอาจได้รับแรงกดดันเช่นเดียวกัน แต่ไม่น่าจะแรงขึ้นกว่าปีนี้ ผมคิดว่าจะมีแรงกดดันที่นานมาก
แต่ผมไม่อยากให้แรงขึ้น"
แรงกดดันจากภาวะราคาต่ำเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยแล้ว 3 ประการ
คือ 1.อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จะเติบโตแบบที่เรียกว่าลุ่มๆ ดอนๆ กล่าวคือบางช่วงดีบางช่วงไม่ดี
ประเดี๋ยวสูงประเดี๋ยวต่ำ ดังนั้นรัฐบาลจึงกระตุ้นแบบแหลกลาญ ซึ่งปรากฏให้เห็นในหลายประเทศ
เช่น ญี่ปุ่น รัฐบาลจะกระตุ้นทุกด้านอย่างหนัก เช่น แจกเงินให้ใช้ ดอกเบี้ย 0% เมื่อรัฐบาลกระตุ้นคนก็เฮ
แต่เมื่อไม่กระตุ้นเศรษฐกิจก็หงอย
2.ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นในตลาดแรงงาน โดยอัตราการว่างงานกับโอกาสในการหางานทำของผู้เริ่มเข้าตลาดแรงงานจะยากขึ้น
เมื่อธุรกิจไม่สามารถดูแลเรื่องราคาสินค้าได้เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและกำลังการผลิตเหลือ
บรรดาภาคธุรกิจจึงต้องดูแลต้นทุนของตัวเอง ซึ่งในหลายประเทศเริ่มปรากฏให้เห็น เช่น
สหรัฐมีอัตราการว่างงานสูงถึง 6.4% ยุโรป 9% และญี่ปุ่นก็อยู่ระดับสูงมาก ดังนั้นในตลาดแรงงานจะมีปัญหา
3. ผลตอบแทนการออมต่ำ ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้มีรายได้จากการออม
เพราะจะไปลงทุนอะไร ผลตอบแทนต่ำหมด เป็นภาวะที่ต่ำทั่วโลกและผลตอบแทนต่ำในทุกธุรกิจ
ไม่ใช่เฉพาะธนาคารเท่านั้น
"หากผ่านจุดนี้ไป สิ่งที่อยากเห็นการกระตุ้นอีกแบบ
ควรเน้นถึงประสิทธิภาพมากขึ้น และหากความจำเป็นในการกระตุ้นจากภาครัฐคลี่คลายลง
และหากรัฐกระตุ้นต่อทำให้เกิดปัญหาได้ ดังนั้นภาครัฐต้องกระตุ้นเพื่อให้เกิดการแข่งขันซึ่งใช้เงินเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่แจก"
3 สาเหตุกดดันภาวะราคาต่ำ
นายโฆสิต ยังกล่าวถึงสาเหตุภาวะราคาต่ำเกิดจาก 1.กำลังการผลิตเหลือ
ซึ่งเกิดมาตั้งแต่สมัยเศรษฐกิจฟองสบู่ที่มีการลงทุนสูงถึง 40% ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
(จีดีพี) แม้ว่าการใช้กำลังการผลิตจะเห็นได้จากกำลังการผลิตในปี 2541 อยู่ที่ 50.8%
แต่ในปี 2546 ช่วง 5 เดือนแรก กำลังผลิตอยู่ที่ 66.9%ซึ่งถือว่าดีขึ้นแต่ยังมีกำลังการผลิตยังเหลืออีกมากดังนั้นจึงเป็นแรงกดดันที่ไม่ง่ายจะมีการลงทุนใหม่
ซึ่งเรายังเป็นห่วงเรื่องการลงทุน เพราะการเติบโตทุกวันนี้มาจากการบริโภค ไม่ใช่จากการลงทุน
2. การแข่งขันยุคโลกาภิวัตน์ทำให้กระแสการแข่งขันรุนแรงและส่งผลต่อระดับราคาสินค้า
การแข่งขันทั้งจากประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าหรือต่ำกว่าไทย เมื่อการแข่งขันสูงขึ้นทำให้อำนาจทางธุรกิจถูกลดทอนลงไป
3. การเคลื่อนย้ายเงินทุนในการเปิดเสรีทางการเงิน ทำให้
เงินทุนไหลเข้าออกเร็วเกินไป หากเงินทุนจากต่างประเทศไหลไปที่ไหน ค่าเงินของประเทศนั้นจะแข็งค่าขึ้น
และมีโอกาสจะใช้สินค้าถูกจากต่างประเทศมากขึ้น และช่วยให้เงินเฟ้อไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก
ในขณะที่ประเทศที่เงินทุนเคลื่อนย้ายออก ค่าเงินจะอ่อนและเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น
นายโฆสิต กล่าวว่าที่ผ่านมาหลายประเทศ พยายามที่จะดิ้นออกจากวงจรดังกล่าว
และประเทศไทยก็ทำได้ดี แต่มีหลายเรื่องไม่ได้อยู่ในการควบคุมของรัฐบาล เช่น การส่งออก
ซึ่งขณะนี้ถือว่าดีมาก แต่การส่งออกของไทยไปตลาดหลักคือสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่นไม่ได้ขยายตัว
ซึ่งประเทศที่ส่งออกไปตลาดหลักเพิ่มขึ้นคือจีน แต่ส่งออกของไทยไปขยายตัวมากคือในตลาดจีน
"อย่างนี้แสดงให้เห็นว่าเราได้โอกาสจากการเติบโตของจีน
ซึ่งจีนได้โอกาสจากประเทศหลักเหล่านี้ ดังนั้นต้องตั้งคำถามว่าหากประเทศหลักมีปัญหาจะส่งผลต่อจีน
และกระทบต่อไทยอีกที" |