จากตารางข้างต้น
มูลหนี้ 9 แสนล้านบาท (2 ใน 3 ของหนี้ บสท. ทั้งหมด)
จะเสียค่าจ้างประเมินเพียง 128 ล้านบาท หรือ
0.014% (ราวหนึ่งในร้อยของ 1% เท่านั้น) ซึ่งต่ำมากหากเทียบกับค่านายหน้าขายทรัพย์สินทั่วไปในท้องตลาดซึ่งคิดกันที่
1-3% หรืออีกนัยหนึ่งคือมูลค่าหนี้สูงกว่าค่าจ้างประเมินถึง
7,031 เท่าเลยทีเดียว
เหตุผลประการที่สอง ที่ควรประเมินก่อนโอนหนี้ให้
บสท. ก็คือการประเมินสามารถทำได้ทันการ ไม่ชักช้า กล่าวคือ
ขณะนี้มีผู้เชี่ยวชาญประเมินที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(กลต.) รับรอง 27 แห่ง แบ่งกันรับงานประเมินหนี้ขนาดใหญ่
2,000 รายที่มีมูลค่าถึง 2 ใน 3 ของหนี้ทั้งหมด
ได้แห่งละ 74 งาน ซึ่งกระผมเชื่อว่าจะสามารถทำได้เสร็จภายใน
2 เดือนเท่านั้น สำหรับทรัพย์สินขนาดเล็ก ๆ นับแสนซึ่งมีมูลหนี้รวมกันเพียง
1 ใน 3 ก็ค่อยประเมินในภายหลังโดยผู้เชี่ยวชาญประเมิน
27 แห่งนี้และผู้เชี่ยวชาญรายเล็กอื่น ๆ ซึ่งมีอีก
40 กว่าแห่ง ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นได้ภายใน 4
เดือนต่อมา
กระผมเห็นว่า
ระยะเวลาประเมินให้แล้วเสร็จเพียงระยะสั้นและเสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยนี้คุ้มค่ามาก
ฯพณฯ โปรดไตร่ตรองดูเถิด มูลหนี้รวม 1.35 ล้านล้านบาท
ถ้าผิดพลาดไปเพียง 1% ก็เป็นเงินถึง 13,500 ล้านบาท
เงินจำนวนนี้สูงกว่าค่าจ้างประเมิน 128 ล้านบาทถึง
106 เท่า การรีบโอนหนี้สินโดยไม่ประเมินค่าย่อมเสี่ยงต่อความผิดพลาดสูงมาก
เท่ากับขาดความโปร่งใสและรังแต่จะเกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศและภาษีประชาชน
สำหรับการทำให้กระบวนการประเมินค่าทรัพย์สินถูกต้อง
โปร่งใส น่าเชื่อถือนั้น สามารถดำเนินการและควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระผมได้เคยเสนอแนวทางไว้ในบทความของกระผมเรื่อง "ความเป็นอิสระทางวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินเป็นอย่างไร" ซึ่งกระผมได้แนบมาพร้อมหนังสือนี้ด้วยแล้ว
ขอ ฯพณฯ โปรดพิจารณาด้วย
กระผมยังใคร่ขอเสนอให้ทบทวนประเด็นแนวทางการจำหน่ายทรัพย์สิน กล่าวคือ ระยะเวลาการจำหน่ายทรัพย์สิน
15 วันนั้นไม่เพียงพอ ควรขยายเป็น 1-3 เดือน ตามมาตราที่
77 แห่ง พรก. บสท. ระบุว่า "การจำหน่ายทรัพย์สินตามมาตรา
76 ให้ บสท. ประกาศล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15
วันก่อนวันจำหน่าย โดยลงโฆษณาในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
และในหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายอย่างน้อยหนึ่งฉบับเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามวัน"
ตามธรรมชาติของการซื้อ-ขายทรัพย์สินอย่างเป็นธรรม
จำเป็นต้องมีเวลาเพียงพอในการตัดสินใจไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดช่องทางขายที่ฉ้อฉลได้
ในการซื้อ-ขายในช่วงเฟื่องฟูระหว่างปี 2530-2533
อาจมีผู้ตัดสินใจซื้อ-ขายภายในระยะเวลา 15 วัน
แต่ในภาวะขณะนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ยกเว้นแต่ได้ล่วงรู้และเตรียมการมาอย่างลับ
ๆ ที่ผ่านมาประเทศได้รอคอยการแก้ไขปัญหาหนี้เสียมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
การจะรออีก 1-3 เดือนเพื่อให้เกิดการซื้อ-ขายอย่างเป็นธรรมและรอบคอบน่าจะสมควรรอได้
นอกจากนี้ กลไกการขายที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ
บสท. กลไกที่ดีก็คือ การมีความโปร่งใส
เช่น ให้ผู้เชี่ยวชาญมาประเมินค่าทรัพย์สินอย่างเป็นธรรมให้เป็นราคาตั้งที่มีมาตรฐานก่อน
ให้ผู้สนใจได้มีโอกาสตรวจสอบทรัพย์สิน ศึกษารายงานประเมินค่าทรัพย์สิน
และให้เวลาที่เพียงพอในการพิจารณา นอกจากนี้
การขายควรนำทรัพย์สินมาขายหลาย ๆ ชิ้นพร้อมกันเพื่อผู้ซื้อมีโอกาสเลือก
และประหยัดต้นทุนค่าโฆษณาเป็นอย่างมาก
กระผมเชื่อว่าการตั้ง
บสท. นี้เป็นความพยายามครั้งสำคัญของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ
แต่หากไม่พิจารณาให้รอบคอบ ดำเนินการผิดพลาด
ประเทศจะไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวหรือแก้ไขได้อีก
เพราะประเทศคงไม่เหลือเงินคงคลัง ฐานะหรือความน่าเชื่อถือใดในการระดมทุนเพื่อแก้ไขวิกฤติได้อีกต่อไป
และประเทศอาจพบกับหายนะได้ในที่สุด กระผมเชื่อมั่นว่า
ในขั้นตอนนี้ มีเพียงความพยายามอย่างจริงจังของนักการเมืองในการศึกษาข้อมูลให้กระจ่างลึกซึ้งเพื่อให้ได้
พรบ.ที่เหมาะสมเท่านั้น จึงจะช่วยนำพาประเทศชาติให้พ้นจากความหายนะได้
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
|