|
10 ถ.นนทรี กรุงเทพมหานคร
10120
โทร.0.9922.9899 Email: sopon@thaiappraisal.org |
|
|
17 มกราคม 2546 |
|
เรื่อง |
โปรดทบทวนแนวทางการแก้ไขปัญหาอสังหาริมทรัพย์ |
กราบเรียน |
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี |
|
ด้วยกระผมมีความเห็นว่า
นโยบายแก้ไขปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
อาจจะยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง กระผมจึงใคร่ขอกราบเรียนเสนอความเห็นเพื่อ
ฯพณฯ โปรดกรุณาพิจารณา ดังนี้: |
|
1. การสร้าง "บ้านคนจน" |
ฯพณฯ
มีดำริเรื่องนี้จากการไปดูงาน ณ กรุงมอสโกเมื่อ
3 เดือนก่อน และพบว่าเขาสร้างที่อยู่ให้ประชาชน
4 ล้านตารางเมตรนั้น<1> กระผมขอกราบเรียนข้อเท็จจริงเพื่อ
ฯพณฯ ทราบว่า ที่นั่นภาคเอกชนอ่อนแอจนรัฐบาลต้องแบกรับภาระไว้เอง
แต่ที่ประเทศไทยของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลแทบไม่ต้องสร้างบ้านคนจนเลย
กระผมได้ค้นพบว่า เฉพาะในช่วงปี 2533-2541 ภาคเอกชนไทยได้สร้างทาวน์เฮาส์และอาคารชุดราคาถูก
(หน่วยละไม่เกินสี่แสนบาท) ถึง 226,810 หน่วย รวมพื้นที่
6-7 ล้านตารางเมตรในเขต กทม.และปริมณฑล<2> การผลิตที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนไทยมีประสิทธิผลสูง
จนกระทั่งทำให้ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการลดปัญหาสลัม<3> นอกจากนี้ค่าเช่าบ้านก็ต่ำมาก
เช่น ห้องชุดที่ขายไม่ออกย่านชานเมืองได้ถูกดัดแปลงให้เช่าในอัตราเดือนละ
500-2,000 บาท ซึ่งถูกกว่าค่าเช่าห้องในสลัมย่านใจกลางเมือง<4>
ดังนั้นการลงทุนของภาครัฐนี้จึง
1. เป็นการใช้เงินงบประมาณโดยผลที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่า เนื่องจากเฉพาะในเขต กทม.และปริมณฑล
ยังมีบ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัยในตลาดถึง 340,000 หน่วย 2. ทำลายระบบตลาดและทำลายผู้ประกอบการรายย่อยที่สามารถตอบสนองต่อตลาดด้วยดีอยู่แล้ว
และ 3. ขัดต่อ พรบ.จัดสรรที่ดิน เพราะลดคุณภาพ-มาตรฐานการอยู่อาศัยลง ซึ่งเป็นการสวนทางกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน<5>
การออกมาตรการนี้อาจเป็นเพราะได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน
เช่นว่า ในประเทศไทยมีการบุกรุกที่ดินถึง 5,000 ชุมชน รวม 1.6 ล้านครอบครัว<6> กระผมเป็นผู้สำรวจสลัมทั่วประเทศและพบว่า
เรามีสลัมทั้งหมด 1,589 ชุมชน มีประชากร 1.8 ล้านคน หรือราว 3% ของคนไทยเท่านั้น<7> และส่วนใหญ่เป็นชุมชนเช่าที่ปลูกบ้านและชุมชนเจ้าของบ้านพร้อมที่ดิน
ชุมชนบุกรุกมีเพียงส่วนน้อยมาก ยิ่งกว่านั้นประชากรสลัมส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจน ในประเทศไทยมีคนจน
(ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนและแทบทั้งหมดอยู่ในชนบท) เพียง 12.5% ซึ่งใกล้เคียงกับในสหรัฐอเมริกา
(12.7%)<8> การนำเสนอตัวเลขที่สูงผิดปกติ
อาจเพราะนับรวมชาวเขา สมัชชาคนจน ผู้บุกรุกป่า ฯลฯ เข้าไว้ด้วย จึงทำให้เกิดความสับสน
ความจริงแล้วนโยบายนี้ได้ใช้ดำเนินการสำหรับชาวสลัมไล่รื้อมาตลอด
30 ปีที่ผ่านมา โดยไม่ประสบความสำเร็จ เพราะชาวสลัมส่วนนี้มักจะนำบ้าน ที่ดิน ห้องชุดที่ได้รับไปขายต่อหรือให้เช่าช่วงทั้งเปิดเผยหรือปิดลับ
เพื่อทำกำไร และที่ยังไม่ขายก็มีจำนวนมากที่ไม่ยอมผ่อนชำระต่อ กลายเป็นหนี้เสียไปทั้งชุมชนก็มีหลายต่อหลายแห่ง
ดังนั้นการขยายมาตรการนี้ออกสู่ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วไปอาจจะสร้างผลกระทบทางลบได้เป็นอย่างมาก |
|
2. การให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ |
มาตรการนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติ
เพราะตั้งแต่ที่เปิดให้ต่างชาติซื้อห้องชุดได้ในช่วงปี
2542-2545 ปรากฏว่ามีการซื้อจริงเพียง 5,465 ล้านบาท<9> ในขณะที่มูลค่าห้องชุดทั้งหมดในเขต
กทม.และปริมณฑลคือ 445,049 ล้านบาท (เฉพาะที่สร้างในปี
2533-2541) ดังนั้นที่ต่างชาติซื้อไปจึงเป็นเพียง
1.2% ของห้องชุดทั้งหมดเท่านั้น มาตรการนี้อาจเพียงช่วยเจ้าของทรัพย์/โครงการราคาแพงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนทั่วไปหรือผู้ประกอบการรายย่อยหรือประเทศโดยรวมเลย
สำหรับเหตุผลในรายละเอียดเพิ่มเติมประกอบ โปรดดูในหนังสือฉบับที่
4 ที่กระผมเคยกราบเรียน ฯพณฯ เมื่อวันที่ 29 มกราคม
2545 |
|
กระผมเห็นว่า
มาตรการระยะยาวเพื่อประโยชน์ของประชาชนยังไม่ได้รับการดำเนินการ
กระผมจึงใคร่ขอกราบเรียนเพื่อโปรดพิจารณาดังนี้: |
1. การประกันเงินดาวน์ของประชาชนผู้ซื้อบ้าน |
กระผมได้เคยนำเสนอมาตรการนี้ในหนังสือถึง
ฯพณฯ ฉบับแรกเมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา (26 มีนาคม
2544) กล่าวคือ ในช่วงวิกฤติการณ์อสังหาริมทรัพย์เมื่อ
5 ปี ที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากจองซื้อบ้านแล้วไม่ได้บ้าน
เงินดาวน์ก็ไม่ได้รับคืน รวมเงินดาวน์ที่เสียไปอาจรวมเป็นเงินนับหมื่นล้านบาท
ดังนั้น จึงควรมีมาตรการประกันเงินดาวน์ โดยผู้ซื้อต้องได้รับการประกันว่า
เมื่อจองซื้อบ้านแล้ว จะสามารถได้บ้านตามที่ประสงค์ในระยะเวลาและคุณภาพที่ตกลงกับผู้ขาย
และหากผู้ขายไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ ผู้ซื้อจะได้รับคืนเงินดาวน์พร้อมดอกเบี้ย
มาตรการนี้สมควรดำเนินการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศโดยตรง
และจะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อตลาดมากขึ้น ทำให้เกิดการซื้อขายที่เป็นธรรมมากขึ้น
และการซื้อขายเช่นนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในทางหนึ่ง |
|
2. การเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนโดยผ่านศูนย์ข้อมูล |
ประเทศมาเลเซีย
ได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติภายในเวลา
9 เดือนนับแต่เกิดวิกฤติการณ์ปี 2540 แต่สำหรับประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลฯ ยังไม่สำเร็จ การเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องอย่างกว้างขวางเป็นมาตรการสำคัญในป้องกันการเกิดวิกฤติการณ์อสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
จะทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็ก
และที่สำคัญทำให้นักลงทุนรายย่อย และประชาชนผู้ซื้อบ้านไม่ถูกหลอกลวงเพราะได้รับความรู้และข่าวสารที่ถูกต้อง
ครบถ้วน ทันการณ์และเท่าเทียมกัน
กระผมเชื่อว่า
ข่าวสารบางอย่างถูกเสนอคลาดเคลื่อน เช่น การมองขนาดตลาดอสังหาริมทรัพย์ใหญ่โตถึง
25% ของ GDP ทำให้เราให้ความสำคัญต่อธุรกิจนี้เกินจริง กระผมสำรวจมาทั่วทั้ง กทม.และปริมณฑลแล้วพบว่า
ในช่วงปี 2545 ที่ผ่านมา มีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เพียง 12,972 หน่วย
รวมมูลค่า 23,668 ล้านบาท<10> ซึ่งมีค่าเพียงประมาณ
0.99% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของ กทม.และปริมณฑล หรือ 0.45% ของ GDP<11> เท่านั้น |
|
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา. |
|
ด้วยความเคารพ
นาย โสภณ พรโชคชัย
ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง |
|
1. |
ไทยรัฐ วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2545 น.8 |
2. |
โครงการสำรวจวิจัยสถานการณ์อุปสงค์-อุปทานที่อยู่อาศัยและอาคารไร้ผู้อยู่อาศัย
(บ้านว่าง) ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล,
พฤษภาคม 2541 น.39 |
3. |
Global Report On Human Settlements
2003: the Case of Bangkok ซึ่งเสนอต่อองค์การสหประชาชาติ
(UN-Habitat) น.9 |
4. |
ภาพห้องชุดเอกชนเหลือมากมายและให้เช่าเพียง
500 บาทต่อเดือน |
5. |
ตาม พรบ.จัดสรร บ้านเดี่ยวต้องมีขนาดที่ดิน
50 ตรว.ขึ้นไป แต่รัฐบาลจะสร้างขนาด 20-25
ตรว. แม้การเคหะแห่งชาติจะมีอำนาจจัดสรรที่ต่ำกว่ามาตรฐานนี้ได้
แต่ก็มักใช้สำหรับการแบ่งแปลงที่ดินในสลัมหรือในพื้นที่ในรองรับสลัมไล่รื้อเท่านั้น |
6. |
กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 7 มกราคม
2546 น.10 |
7. |
Global Report On Human Settlements
2003: the Case of Bangkok ซึ่งเสนอต่อองค์การสหประชาชาติ
(UN-Habitat) น.5 |
8. |
ข้อมูลจาก CIA |
9. |
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 5-8 ธันวาคม
หน้า 39 |
10. |
กระผมนำเสนอในการประชุมประจำปี นโยบายที่อยู่อาศัยประเทศไทย
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2545 |
11. |
มาจาก www.nesdb.go.th/Main_menu/Macro/gpp_data/index.html |
สำเนาจดหมายตอบรับจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
(ฉบับที่ 1)
|
ที่ นร ๐๑๐๔.๒๒/๓๒๗๓ |
|
อนุสนธิหนังสือของท่าน
ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๖ กราบเรียนนายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
เช่น การประกันเงินดาวน์ให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยและอื่นๆ
ความแจ้งอยู่แล้ว นั้น
สำนักนายกรัฐมนตรีได้รับทราบ
และได้ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลัง รับทราบเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแล้ว
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
สำนักนายกรัฐมนตรี
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ศูนย์บริการประชาชน
โทร ๐ ๒๒๘๑-๔๐๔๐ ต่อ ๒๐๐
โทรสาร ๐ ๒๒๘๒-๗๘๖๓
กิตติมา: ๒๒๔-สปน.๐๑๔๖๔ ๕/๒/๔๖
|
|