หอการค้า 'ญี่ปุ่น' เลือดขึ้นหน้า ร่อนหนังสือเตือน สติรัฐบาล!
ไทยรัฐ 29 มีนาคม 2550
 
สรุปสาระข่าว
 
         นายเท็ตซึจิ บันโน่ ประธานหอการค้าญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าญี่ปุ่นได้ทำหนังสือถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอข้อคิดเห็นเรื่อง "การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว" ให้พิจารณา ซึ่งข้อเสนอครั้งนี้ เป็นการรวบรวมความเห็นจากสมาชิกที่เป็นบริษัทจากญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทย เพื่อต้องการให้รัฐบาลนำไปใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าว และดำเนินมาตรการที่จำเป็นต่อไป
 
ข้อคิดเห็น
 
         ตอนนี้ประเทศไทยกำลังแย่ ทั่วโลกไปจีนกับอินเดีย ประเทศทางอาฟริกาก็กำลังฟื้นเช่นเดียวกับประเทศหลังม่านเหล็กที่ฟื้นไปเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว ลู่ทางการลงทุนในประเทศอื่นก็เปิดกว้างและกำลังสดใส ถ้าเขาจะหันมาเอเซียอาคเนย์ เขาก็มองไปที่มาเลเซีย ที่เจริญกว่าเรา หรือไม่ก็เวียดนามที่ค่าแรงถูกกว่าเรา ถ้าไทยเราไม่ตีกันเอง ต่อไปประเทศชาติจะเสื่อมทรุดหนัก
 
รายละเอียดของเนื้อข่าว
 

         นายเท็ตซึจิ บันโน่ ประธานหอการค้าญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าญี่ปุ่นได้ทำหนังสือถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอข้อคิดเห็นเรื่อง "การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว" ให้พิจารณา ซึ่งข้อเสนอครั้งนี้ เป็นการรวบรวมความเห็นจากสมาชิกที่เป็นบริษัทจากญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทย เพื่อต้องการให้รัฐบาลนำไปใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าว และดำเนินมาตรการที่จำเป็นต่อไป

         นายเท็ตซึจิกล่าวว่า บริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทย คิดเป็น 40% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดจากทุกประเทศ หากบริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจขณะนี้สามารถทำธุรกิจในรูปแบบที่สมบูรณ์ต่อไปได้ บริษัทเหล่านี้ก็พร้อมจะขยายการลงทุนในไทยต่อไป

         "แต่ในสภาพปัจจุบัน ไทยกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางการเมือง การลอบวางระเบิด ค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้การทำธุรกิจในไทยแย่ลง ขณะที่เวียดนามที่เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกประเทศล่าสุด ได้ยกเลิกกฎระเบียบต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ส่งผลให้ ปัจจัยแวดล้อมของการลงทุนของเวียดนามดีขึ้น ขณะที่อินเดียและจีน ที่มีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ ก็เป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญของบริษัทญี่ปุ่นที่จะขยายการลงทุน" นายเท็ตซึจิกล่าวว่า กรณีข้างต้นทำให้ความได้เปรียบของไทยในฐานะแหล่งลงทุน ในระยะกลางและระยะยาว ได้ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการส่งเสริมการลงทุนในไทยก็เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าต่อไป ถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในไทยทุกคนมุ่งหวัง จึงต้องการเห็นการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าว จะไม่ทำให้ข้อได้เปรียบในการลงทุนของไทยหมดไป เพื่อให้บริษัทญี่ปุ่นในไทยขยายกิจการต่อไปได้

         สำหรับรายละเอียดที่หอการค้าฯต้องการให้ ปรับปรุงมีอาทิ ประเด็นการประกอบธุรกิจขายส่ง หรือขายปลีกที่มีเงินทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ที่จากเดิมคนต่างด้าวที่มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท สามารถประกอบกิจการผลิตและการค้าภายในบริษัทเดียวกันได้ แต่เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียด กลับทำให้บริษัทที่จะเข้ามาทำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งรายใหม่ เข้าข่ายประเภทธุรกิจของคนต่างด้าว แม้ว่าบริษัทที่ประกอบธุรกิจอยู่เดิม จะไม่เข้าข่ายประเภทธุรกิจของกฎหมายฉบับนี้ก็ตาม ซึ่งกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจในไทยลักษณะนี้กว่า 57 บริษัท ที่มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท มีแผนจะขยายกิจการ 27 บริษัท โดยบางบริษัทแจ้งว่าจะเลื่อนการขยายการลงทุนออกไป หอการค้าญี่ปุ่นจึงต้องการให้รัฐบาลคงเงื่อนไขของบริษัททุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ที่จะดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งไว้คงเดิม เป็นต้น.