พ่อจับลูก 2 ขวบ โยนลงตึกโดดตามเละ 2 ศพ
ไทยรัฐ ปีที่ 56 ฉบับที่ 17385 วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2548 หน้า 1
 
สรุปสาระข่าว
 
         เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 ส.ค. พ.ต.ท. สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม พงส.สบ.3 สน.บางเขน ได้รับแจ้งมีชายอุ้มเด็กกระโดด จากตึกอาคารเรียน ภายในมหาวิทยาลัยศรีปทุม บางเขน ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. จึงประสาน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์ สถาบันนิติเวช และผู้เกี่ยวข้องเดินทางไปตรวจสอบ
 
ข้อคิดเห็น
 
         เสียดายชีวิต
 
รายละเอียดของเนื้อข่าว
 
         เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 ส.ค. พ.ต.ท. สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม พงส.สบ.3 สน.บางเขน ได้รับแจ้งมีชายอุ้มเด็กกระโดด จากตึกอาคารเรียน ภายในมหาวิทยาลัยศรีปทุม บางเขน ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. จึงประสาน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์ สถาบันนิติเวช และผู้เกี่ยวข้องเดินทางไปตรวจสอบ
         บริเวณที่เกิดเหตุอยู่หน้าอาคาร 1 หรือตึก ดร.สุข พุคยาภรณ์ อาคารอเนกประสงค์สูง 12 ชั้น พบบรรดานักศึกษาชายหญิงหลายร้อยคน ยืนตกตะลึงกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ต้องกันผู้ไม่เกี่ยวข้อง ออกไปเพื่อความสะดวกในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ พบภาพสะเทือนใจร่างหนูน้อยวัยประมาณ 2 ขวบ นอนร่างกายแหลกเหลวอยู่ใกล้ๆกับศพผู้ชาย โดยเด็กที่เสียชีวิตนอนตะแคงขวา สวมเสื้อยืดอุลตร้าแมน กางเกงขาสั้นสีแดงลายดอก ศพผู้ใหญ่สวมเสื้อยืดคอโปโลสีครีม กางเกงขายาวสีเทา นอนคว่ำหน้า ใบหน้าฟาดพื้นยุบ แขนขวาหัก ขาซ้ายหัก ซี่โครงหักไปทั้งแถบ ค้นในตัวพบหลักฐานในกระเป๋าสตางค์ ใบขับขี่ระบุชื่อนายจารึก สุขยืด อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/1 หมู่ 3 ต.เกาะกูด อ.เกาะกูด จ.ตราด เงินสด 130 บาท ตั๋วรถทัวร์ กรุงเทพฯ-พะเยา ระบุวันเดินทางวันที่ 22 ส.ค. เวลา 19.30 น. รูปถ่ายหญิงสาว 1 ใบ รูปถ่ายเด็กชายขณะยังเล็กอีก 2 ใบ ส่วนกระเป๋ากางเกงมีโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโนเกียรุ่น 3310 บัตรเติมเงิน 1 ใบ และมีดคัตเตอร์อีก 2 เล่ม จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
         ในระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจชันสูตรพลิกศพอยู่นั้น ได้มีโทรศัพท์โทร.เข้ามือถือของผู้ตายพอดี เมื่อเจ้าหน้าที่รับสาย อ้างว่าชื่อ น.ส.กัลยา สุขยืด อายุ 20 ปี น้องสาวของนายจารึก โทรศัพท์ไปหาเพื่อสอบถามว่าพี่ชายอยู่ที่ไหน เนื่องจากเป็นห่วงเพราะก่อนหน้านี้ทราบจากภรรยาของนายจารึกว่ากำลังเครียด และพาลูกชายจะไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายด้วยกัน โดยหลานชายชื่อ ด.ช.รุ่งรุจ หรือน้องปลื้ม วัย 1 ขวบ 9 เดือน เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข่าวร้ายให้ทราบว่านายจารึก ได้อุ้มน้องปลื้มกระโดดตึกเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ พร้อมกับให้ น.ส.กัลยารีบแจ้งภรรยาและญาติของผู้ตายไปติดต่อที่ สน.บางเขน จากนั้นมอบศพให้มูลนิธิฯนำส่งสถาบันนิติเวชฯ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
         ต่อมานางธัญญพร พุทธสุวรรณ อายุ 24 ปี ภรรยานายจารึก ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนในสภาพร่ำไห้เสียใจอย่างหนัก ก่อนเปิดเผยว่าอยู่กินกับผู้ตายมาประมาณ 3-4 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน คือน้องปลื้ม เดิมทีทำมาหากินเปิดร้านขายของชำที่เกาะกูด จ.ตราด บ้านเกิด แต่ระยะหลังน้ำมันราคาแพง ทำให้การค้าขายไม่ดี ขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการ แล้วเดินทางไปทำมาหากินที่ จ.เพชรบูรณ์ โดยนายจารึกเป็นเซลส์แมนขายรถตามเต็นท์รถมือสองกับเพื่อน แต่ทำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องเลิกราเพราะขายไม่ได้ จากนั้นจึงตัดสินใจพากันเข้ากรุงเทพฯเมื่อราว 4-5 เดือนที่ผ่านมา โดยไปอาศัยอยู่กับอาที่ย่านสะพานใหม่ ซึ่งเปิดร้านเบเกอรี่ ช่วยอาขายขนม แต่อยู่ได้ราว 2 เดือน นายจารึกเริ่มเครียดกับปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่สามารถหาเงินเลี้ยงครอบครัว ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง โดยบอกว่าอึดอัดอยากออกไปหางานทำที่อื่น จากนั้นไปสมัครทำงานที่โรงงานน้ำหอมย่านนวนคร 2-3 วันถึงจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย อ้างว่าพักอาศัยอยู่กับเพื่อน นอกจากนี้ สามียังบอกว่ากำลังรอเรียกตัวไปทำงานภาคใต้ เนื่องจากไปสอบเป็นปลัด อบต.ที่ จ.ปัตตานี แต่ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่
         นางธัญญพรผู้สูญเสียสามีและลูกให้การต่อว่าจนกระทั่งเมื่อตอนแปดโมงเช้า สามีกลับไปที่บ้านด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้เคร่งเครียดแต่อย่างใด ก่อนอุ้มลูกชายไปอาบน้ำ เสร็จแล้วขอเงิน 100 บาท อ้างว่าจะพาลูกไปซื้อขนมกินที่ร้านมินิมาร์ทใกล้บ้าน แต่หายไปนานอย่างผิดสังเกต แล้วก็โทรศัพท์กลับไปบอกว่าจะพาลูกไปอยู่ด้วย ตอนแรกเข้าใจว่าจะพาไปอยู่ที่โรงงาน แต่นายจารึกบอกว่าไม่ได้พาไปเลี้ยง จะพาไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายด้วยกัน ทำให้ตกใจแทบช็อก พยายามห้ามปรามว่ามีปัญหาอะไรก็ค่อยพูดค่อยแก้ไข แต่สามีก็ไม่ฟังเสียง บอกว่าไม่ต้องมาห้าม เพราะตั้งใจไว้แล้ว เมื่อสอบถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน นายจารึกก็ไม่ยอมบอก จากนั้นรีบวางสายไปทันที ด้วยความตกใจจึงรีบแจ้งให้ญาติๆช่วยกันตามติดหา แต่ก็สายไป เมื่อทราบข่าวร้ายจาก น.ส.กัลยาว่าสามีกับลูกชายกลายเป็นศพไปแล้ว ส่วนที่นายจารึกพาลูกไปกระโดดตึกที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมนั้น เนื่องจากเป็นศิษย์เก่าเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม คณะเศรษฐศาสตร์ เมื่อ 5-6 ปีก่อน
         พ.ต.ท.สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เปิดเผยว่า ตึกดังกล่าวเป็นตึกอเนกประสงค์ เป็นทั้งอาคารเรียนรวม ห้องประชุม และโรงยิมเนเซียม ก่อนเกิดเหตุ รปภ.ประจำอาคารเห็นผู้ตายไปนั่งคุยโทรศัพท์ตรงโต๊ะนั่งเล่นใกล้ระเบียงตึกชั้น 7 ด้วยท่าทางเคร่งเครียด แต่ไม่ได้เอะใจว่าจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย สักพักได้ยินเสียงตะโกนลั่นว่าโอ๊ย เมื่อหันไปดู พบผู้ตายกระโดดลงไปพร้อมกับเด็กแล้ว ส่วนคนสวนของมหาวิทยาลัยศรีปทุมให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ขณะตัดหญ้าอยู่ในสวนหย่อมหน้าตึกดังกล่าว เห็นร่างของหนูน้อยหล่นลงฟาดพื้นก่อน จากนั้นก็มีร่างของนายจารึกหล่นตามมาติดๆ แต่ในช่วงที่ผู้ตายอุ้มลูกขึ้นไปบนชั้น 7 ไม่มีใครเห็นว่าขึ้นไปทางไหนและเวลาใด เท่าที่ดูไม่น่าเป็นอุบัติเหตุพลัดตกลงมา เนื่องจากขอบระเบียงสูงเหนือเอว แต่จากการสอบพยานแวดล้อมแล้วเชื่อว่าน่าเป็นการตั้งใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายมากกว่า โดยนายจารึกโยนลูกน้อยลงไปก่อน แล้วกระโดดตึกตามลงไป ส่วนสาเหตุอาจมาจากเรื่องที่ผู้ตายไม่มีงานทำ ทำให้เกิดความเครียด ประกอบกับอยากจะพาลูกไปเลี้ยงเอง แต่ภรรยาไม่ยินยอม ทำให้เครียดหนักขึ้นเป็นสองเท่า ส่วนรายละเอียดที่แน่ชัดจะสอบปากคำภรรยาและผู้ใกล้ชิดให้ชัดเจนต่อไป เบื้องต้นเท่าที่ทราบ ผู้ตายไม่เล่นการพนัน ไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยา แต่เป็นคนมีนิสัยชอบเอาแต่ใจตัวเอง ขณะที่ญาติให้การว่า เมื่อมีปัญหาระยะหลังมักจะบ่นอยู่เสมอว่าอยากฆ่าตัวตาย