|
|
สรุปสาระข่าว |
|
เมื่อเวลา
10.30 น. วันที่ 26 ส.ค. พ.ต.ท. สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม
พงส.สบ.3 สน.บางเขน ได้รับแจ้งมีชายอุ้มเด็กกระโดด
จากตึกอาคารเรียน ภายในมหาวิทยาลัยศรีปทุม บางเขน
ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. จึงประสาน
เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์ สถาบันนิติเวช
และผู้เกี่ยวข้องเดินทางไปตรวจสอบ |
|
ข้อคิดเห็น |
|
เสียดายชีวิต |
|
รายละเอียดของเนื้อข่าว |
|
เมื่อเวลา
10.30 น. วันที่ 26 ส.ค. พ.ต.ท. สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม
พงส.สบ.3 สน.บางเขน ได้รับแจ้งมีชายอุ้มเด็กกระโดด
จากตึกอาคารเรียน ภายในมหาวิทยาลัยศรีปทุม บางเขน
ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. จึงประสาน
เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์ สถาบันนิติเวช
และผู้เกี่ยวข้องเดินทางไปตรวจสอบ
บริเวณที่เกิดเหตุอยู่หน้าอาคาร 1 หรือตึก ดร.สุข พุคยาภรณ์
อาคารอเนกประสงค์สูง 12 ชั้น พบบรรดานักศึกษาชายหญิงหลายร้อยคน ยืนตกตะลึงกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ต้องกันผู้ไม่เกี่ยวข้อง ออกไปเพื่อความสะดวกในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ
พบภาพสะเทือนใจร่างหนูน้อยวัยประมาณ 2 ขวบ นอนร่างกายแหลกเหลวอยู่ใกล้ๆกับศพผู้ชาย
โดยเด็กที่เสียชีวิตนอนตะแคงขวา สวมเสื้อยืดอุลตร้าแมน กางเกงขาสั้นสีแดงลายดอก
ศพผู้ใหญ่สวมเสื้อยืดคอโปโลสีครีม กางเกงขายาวสีเทา นอนคว่ำหน้า ใบหน้าฟาดพื้นยุบ
แขนขวาหัก ขาซ้ายหัก ซี่โครงหักไปทั้งแถบ ค้นในตัวพบหลักฐานในกระเป๋าสตางค์ ใบขับขี่ระบุชื่อนายจารึก
สุขยืด อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/1 หมู่ 3 ต.เกาะกูด อ.เกาะกูด จ.ตราด เงินสด
130 บาท ตั๋วรถทัวร์ กรุงเทพฯ-พะเยา ระบุวันเดินทางวันที่ 22 ส.ค. เวลา 19.30 น.
รูปถ่ายหญิงสาว 1 ใบ รูปถ่ายเด็กชายขณะยังเล็กอีก 2 ใบ ส่วนกระเป๋ากางเกงมีโทรศัพท์มือถือ
ยี่ห้อโนเกียรุ่น 3310 บัตรเติมเงิน 1 ใบ และมีดคัตเตอร์อีก 2 เล่ม จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ในระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจชันสูตรพลิกศพอยู่นั้น ได้มีโทรศัพท์โทร.เข้ามือถือของผู้ตายพอดี
เมื่อเจ้าหน้าที่รับสาย อ้างว่าชื่อ น.ส.กัลยา สุขยืด อายุ 20 ปี น้องสาวของนายจารึก
โทรศัพท์ไปหาเพื่อสอบถามว่าพี่ชายอยู่ที่ไหน เนื่องจากเป็นห่วงเพราะก่อนหน้านี้ทราบจากภรรยาของนายจารึกว่ากำลังเครียด
และพาลูกชายจะไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายด้วยกัน โดยหลานชายชื่อ ด.ช.รุ่งรุจ หรือน้องปลื้ม
วัย 1 ขวบ 9 เดือน เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข่าวร้ายให้ทราบว่านายจารึก ได้อุ้มน้องปลื้มกระโดดตึกเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่
พร้อมกับให้ น.ส.กัลยารีบแจ้งภรรยาและญาติของผู้ตายไปติดต่อที่ สน.บางเขน จากนั้นมอบศพให้มูลนิธิฯนำส่งสถาบันนิติเวชฯ
เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ต่อมานางธัญญพร พุทธสุวรรณ อายุ 24 ปี
ภรรยานายจารึก ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนในสภาพร่ำไห้เสียใจอย่างหนัก
ก่อนเปิดเผยว่าอยู่กินกับผู้ตายมาประมาณ 3-4 ปี มีลูกด้วยกัน
1 คน คือน้องปลื้ม เดิมทีทำมาหากินเปิดร้านขายของชำที่เกาะกูด
จ.ตราด บ้านเกิด แต่ระยะหลังน้ำมันราคาแพง ทำให้การค้าขายไม่ดี
ขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการ แล้วเดินทางไปทำมาหากินที่ จ.เพชรบูรณ์
โดยนายจารึกเป็นเซลส์แมนขายรถตามเต็นท์รถมือสองกับเพื่อน แต่ทำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องเลิกราเพราะขายไม่ได้
จากนั้นจึงตัดสินใจพากันเข้ากรุงเทพฯเมื่อราว 4-5 เดือนที่ผ่านมา
โดยไปอาศัยอยู่กับอาที่ย่านสะพานใหม่ ซึ่งเปิดร้านเบเกอรี่ ช่วยอาขายขนม
แต่อยู่ได้ราว 2 เดือน นายจารึกเริ่มเครียดกับปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่สามารถหาเงินเลี้ยงครอบครัว
ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง โดยบอกว่าอึดอัดอยากออกไปหางานทำที่อื่น
จากนั้นไปสมัครทำงานที่โรงงานน้ำหอมย่านนวนคร 2-3 วันถึงจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย
อ้างว่าพักอาศัยอยู่กับเพื่อน นอกจากนี้ สามียังบอกว่ากำลังรอเรียกตัวไปทำงานภาคใต้
เนื่องจากไปสอบเป็นปลัด อบต.ที่ จ.ปัตตานี แต่ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่
นางธัญญพรผู้สูญเสียสามีและลูกให้การต่อว่าจนกระทั่งเมื่อตอนแปดโมงเช้า
สามีกลับไปที่บ้านด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้เคร่งเครียดแต่อย่างใด ก่อนอุ้มลูกชายไปอาบน้ำ
เสร็จแล้วขอเงิน 100 บาท อ้างว่าจะพาลูกไปซื้อขนมกินที่ร้านมินิมาร์ทใกล้บ้าน แต่หายไปนานอย่างผิดสังเกต
แล้วก็โทรศัพท์กลับไปบอกว่าจะพาลูกไปอยู่ด้วย ตอนแรกเข้าใจว่าจะพาไปอยู่ที่โรงงาน
แต่นายจารึกบอกว่าไม่ได้พาไปเลี้ยง จะพาไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายด้วยกัน ทำให้ตกใจแทบช็อก
พยายามห้ามปรามว่ามีปัญหาอะไรก็ค่อยพูดค่อยแก้ไข แต่สามีก็ไม่ฟังเสียง บอกว่าไม่ต้องมาห้าม
เพราะตั้งใจไว้แล้ว เมื่อสอบถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน นายจารึกก็ไม่ยอมบอก จากนั้นรีบวางสายไปทันที
ด้วยความตกใจจึงรีบแจ้งให้ญาติๆช่วยกันตามติดหา แต่ก็สายไป เมื่อทราบข่าวร้ายจาก
น.ส.กัลยาว่าสามีกับลูกชายกลายเป็นศพไปแล้ว ส่วนที่นายจารึกพาลูกไปกระโดดตึกที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมนั้น
เนื่องจากเป็นศิษย์เก่าเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม คณะเศรษฐศาสตร์ เมื่อ 5-6 ปีก่อน
พ.ต.ท.สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เปิดเผยว่า
ตึกดังกล่าวเป็นตึกอเนกประสงค์ เป็นทั้งอาคารเรียนรวม ห้องประชุม และโรงยิมเนเซียม
ก่อนเกิดเหตุ รปภ.ประจำอาคารเห็นผู้ตายไปนั่งคุยโทรศัพท์ตรงโต๊ะนั่งเล่นใกล้ระเบียงตึกชั้น
7 ด้วยท่าทางเคร่งเครียด แต่ไม่ได้เอะใจว่าจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย สักพักได้ยินเสียงตะโกนลั่นว่าโอ๊ย
เมื่อหันไปดู พบผู้ตายกระโดดลงไปพร้อมกับเด็กแล้ว ส่วนคนสวนของมหาวิทยาลัยศรีปทุมให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า
ขณะตัดหญ้าอยู่ในสวนหย่อมหน้าตึกดังกล่าว เห็นร่างของหนูน้อยหล่นลงฟาดพื้นก่อน จากนั้นก็มีร่างของนายจารึกหล่นตามมาติดๆ
แต่ในช่วงที่ผู้ตายอุ้มลูกขึ้นไปบนชั้น 7 ไม่มีใครเห็นว่าขึ้นไปทางไหนและเวลาใด
เท่าที่ดูไม่น่าเป็นอุบัติเหตุพลัดตกลงมา เนื่องจากขอบระเบียงสูงเหนือเอว แต่จากการสอบพยานแวดล้อมแล้วเชื่อว่าน่าเป็นการตั้งใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายมากกว่า
โดยนายจารึกโยนลูกน้อยลงไปก่อน แล้วกระโดดตึกตามลงไป ส่วนสาเหตุอาจมาจากเรื่องที่ผู้ตายไม่มีงานทำ
ทำให้เกิดความเครียด ประกอบกับอยากจะพาลูกไปเลี้ยงเอง แต่ภรรยาไม่ยินยอม ทำให้เครียดหนักขึ้นเป็นสองเท่า
ส่วนรายละเอียดที่แน่ชัดจะสอบปากคำภรรยาและผู้ใกล้ชิดให้ชัดเจนต่อไป เบื้องต้นเท่าที่ทราบ
ผู้ตายไม่เล่นการพนัน ไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยา แต่เป็นคนมีนิสัยชอบเอาแต่ใจตัวเอง
ขณะที่ญาติให้การว่า เมื่อมีปัญหาระยะหลังมักจะบ่นอยู่เสมอว่าอยากฆ่าตัวตาย |