'แมสเซนเจอร์'เชิด 2 ล้านจนมุมใช้คุ้มเหลือ 70 บ.
เดลินิวส์ วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 หน้า 1
 
สรุปสาระข่าว
 
         รวบแมสเซนเจอร์แสบ เชิดเงินนายจ้าง 2 ล้านกว่าหนีหายลอยนวล สารภาพหมดเปลือกไปแบงก์เบิกเงินให้เจ้านาย เห็นเงินเกิดโลภ ประกอบกับมีปัญหาเป็นหนี้บัตรเครดิตเพียบจึงลงมือก่อเหตุ หลังได้เงินสวมบท "สามล้อถูกหวย" เที่ยวเตร่ใช้จ่ายสนุกมือ ผ่านไป 6 เดือนเหลือเงินติดกระเป๋าแค่ 70 บาท ชีวิตและอีก 5-6 คนยังไม่ทราบชะตากรรม
         (ดูข่าวคล้ายคลึงกัน "ตร.ฟลุกจับ พนง.รถขนเงินแบงก์เชิด 1.5 ล้าน หนีได้ 6 ปี" ใน ผู้จัดการ online 1 มีนาคม 2548)
 
ข้อคิดเห็น
         ผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยไม่ผ่านการ "หลั่งเหงื่อโทรมกาย" นั้น ย่อมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเพิ่มพูนหรือกระทั่งรักษาทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ได้
 
 
รายละเอียดของเนื้อข่าว
 
         "สืบพญาไทเจ๋ง" รวบแมสเซนเจอร์แสบ เชิดเงินนายจ้าง 2 ล้านกว่าหนีหายลอยนวล สารภาพหมดเปลือกไปแบงก์เบิกเงินให้เจ้านาย เห็นเงินเกิดโลภ ประกอบกับมีปัญหาเป็นหนี้บัตรเครดิตเพียบจึงลงมือก่อเหตุ หลังได้เงินสวมบท "สามล้อถูกหวย" เที่ยวเตร่ใช้จ่ายสนุกมือ ผ่านไป 6 เดือนเหลือเงินติดกระเป๋าแค่ 70 บาท
         รวบแมสเซนเจอร์แสบเชิดเงินนายจ้าง 2 ล้าน ถูกจับเหลือเงินติดกระเป๋าแค่ 70 บาท เกิดขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 ก.พ. พ.ต.ต.สมิง รอดรัตษะ สว.สส.สน.พญาไท พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนร่วมแถลงข่าวจับกุมนายสามารถ หรือกล่อง ชินอักษร อายุ 26 ปี พนักงานส่งเอกสาร อยู่บ้านเลขที่ 340/60 ถนนร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง ตามหมายจับศาลอาญาที่ 3250/2547 ลงวันที่ 9 ก.ย. 47 ข้อหายักยอกทรัพย์ โดยจับกุมตัวได้ที่หน้าบ้านเลขที่ 143/10 ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 47 ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาได้รับมอบฉันทะจากนายแก้ว เก่งรุ่งเรืองชัย อายุ 39 ปี เจ้าของบริษัท แอล อาร์ ซี ไทยเมททอล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 1532/1 ถนนประชาราษฎร์ สาย 1 แขวง-เขตบางซื่อ เป็นบริษัทส่งทองแดงออกต่างประเทศ ให้ไปเบิกเงินในบัญชีจำนวน 4 บัญชี รวมเป็นเงิน 2,034,259 บาท จากธนาคารแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี แต่หลังเบิกเงินเสร็จผู้ต้องหาได้หลบหนีไปพร้อมกับเงินดังกล่าว กระทั่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าแอบไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ จ.ระยอง จึงประสานไปยัง พ.ต.ท.สมชาย พูลทรัพย์ สว.สส. ภ.จ.ระยอง นำหมายศาลเข้าจับกุม
         จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า วันเกิดเหตุตนไปเบิกเงินให้เจ้านาย เมื่อเห็นเงินกองอยู่ตรงหน้าเลยเกิดความโลภ อีกทั้งตนติดหนี้บัตรเครดิตเป็นจำนวนมาก จึงตัดสินใจหนีและนำเงินไปใช้จ่ายเที่ยวเตร่ตามประสาวัยรุ่นที่ จ.เชียงใหม่ และระยอง เงินบางส่วนก็แบ่งให้ญาติ ๆ แต่ไม่ได้นำไปชำระบัตรเครดิตแต่อย่างใด เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นแนวทางให้ตำรวจตามจับตัวได้ กระทั่งผ่านไป 6 เดือนเงินที่ได้มา 2 ล้านกว่าถูกใช้ไปอย่างลืมตัว ซึ่งขณะถูกจับกุมตนมีเงินเหลือติดตัวเพียง 70 บาทเท่านั้น