การเคหะแห่งชาติแม้จะพยายามสร้างบ้านเอื้ออาทรเพื่อประชาชน
แต่ตามประวัติเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา สร้างบ้านได้เพียง
130,000 หน่วย นี่จะสร้าง 600,000 หน่วยใน 5
ปี จะทำได้อย่างไร และนี่เป็นเพียงโครงการแรกประมาณ
477 หน่วยเท่านั้น ที่เหลือจะมีปัญหาอะไรบ้าง
โปรดดูหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีจากดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่
http://www.thaiappraisal.org/Thai/letter/letter06.htm
ซึ่งมีเนื้อความสรุปดังนี้:
ฯพณฯ มีดำริเรื่องนี้ (บ้านเอื้ออาทร) จากการไปดูงาน ณ
กรุงมอสโกเมื่อ 3 เดือนก่อน และพบว่าเขาสร้างที่อยู่ให้ประชาชน 4 ล้านตารางเมตรนั้น<1> กระผมขอกราบเรียนข้อเท็จจริงเพื่อ
ฯพณฯ ทราบว่า ที่นั่นภาคเอกชนอ่อนแอจนรัฐบาลต้องแบกรับภาระไว้เอง แต่ที่ประเทศไทยของเรา
ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลแทบไม่ต้องสร้างบ้านคนจนเลย กระผมได้ค้นพบว่า เฉพาะในช่วงปี
2533-2541 ภาคเอกชนไทยได้สร้างทาวน์เฮาส์และอาคารชุดราคาถูก (หน่วยละไม่เกินสี่แสนบาท)
ถึง 226,810 หน่วย รวมพื้นที่ 6-7 ล้านตารางเมตรในเขต กทม.และปริมณฑล<2> การผลิตที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนไทยมีประสิทธิผลสูง
จนกระทั่งทำให้ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการลดปัญหาสลัม<3> นอกจากนี้ค่าเช่าบ้านก็ต่ำมาก
เช่น ห้องชุดที่ขายไม่ออกย่านชานเมืองได้ถูกดัดแปลงให้เช่าในอัตราเดือนละ 500-2,000
บาท ซึ่งถูกกว่าค่าเช่าห้องในสลัมย่านใจกลางเมือง<4>
ดังนั้นการลงทุนของภาครัฐนี้จึง 1. เป็นการใช้เงินงบประมาณโดยผลที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่า
เนื่องจากเฉพาะในเขต กทม.และปริมณฑล ยังมีบ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัยในตลาดถึง
340,000 หน่วย 2. ทำลายระบบตลาดและทำลายผู้ประกอบการรายย่อยที่สามารถตอบสนองต่อตลาดด้วยดีอยู่แล้ว
และ 3. ขัดต่อ พรบ.จัดสรรที่ดิน เพราะลดคุณภาพ-มาตรฐานการอยู่อาศัยลง ซึ่งเป็นการสวนทางกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน<5>
การออกมาตรการนี้อาจเป็นเพราะได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน เช่นว่า
ในประเทศไทยมีการบุกรุกที่ดินถึง 5,000 ชุมชน รวม 1.6 ล้านครอบครัว<6> กระผมเป็นผู้สำรวจสลัมทั่วประเทศและพบว่า
เรามีสลัมทั้งหมด 1,589 ชุมชน มีประชากร 1.8 ล้านคน หรือราว 3% ของคนไทยเท่านั้น<7> และส่วนใหญ่เป็นชุมชนเช่าที่ปลูกบ้านและชุมชนเจ้าของบ้านพร้อมที่ดิน
ชุมชนบุกรุกมีเพียงส่วนน้อยมาก ยิ่งกว่านั้นประชากรสลัมส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจน ในประเทศไทยมีคนจน
(ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนและแทบทั้งหมดอยู่ในชนบท) เพียง 12.5% ซึ่งใกล้เคียงกับในสหรัฐอเมริกา
(12.7%)<8> การนำเสนอตัวเลขที่สูงผิดปกติ อาจเพราะนับรวมชาวเขา สมัชชาคนจน ผู้บุกรุกป่า
ฯลฯ เข้าไว้ด้วย จึงทำให้เกิดความสับสน
ความจริงแล้วนโยบายนี้ได้ใช้ดำเนินการสำหรับชาวสลัมไล่รื้อมาตลอด
30 ปีที่ผ่านมา โดยไม่ประสบความสำเร็จ เพราะชาวสลัมส่วนนี้มักจะนำบ้าน ที่ดิน ห้องชุดที่ได้รับไปขายต่อหรือให้เช่าช่วงทั้งเปิดเผยหรือปิดลับ
เพื่อทำกำไร และที่ยังไม่ขายก็มีจำนวนมากที่ไม่ยอมผ่อนชำระต่อ กลายเป็นหนี้เสียไปทั้งชุมชนก็มีหลายต่อหลายแห่ง
ดังนั้นการขยายมาตรการนี้ออกสู่ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วไปอาจจะสร้างผลกระทบทางลบได้เป็นอย่างมาก