ในวันที่
24 ตุลาคมในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ มีข่าว
3 ข่าวที่ดู "ขัดแยัง" กันพอสมควรปรากฏให้เห็นจาก "แหล่งข่าว" ที่แตกต่างกัน
โดยข่าวแรกเป็นข่าวพาดหัวหลัก โปรยว่า "แฉแบงก์สุดเขี้ยว
แห่ลด ดบ. ฟันกำไรอื้อ เตือนลูกหนี้อย่าชะล่าใจโหมกู้เพิ่ม" พอเหลือบมาดูส่วนท้ายของข่าวพาดหัวนี้
กลับมีข่าวที่ดูคล้ายตรงกันข้าม โดยโปรยหัวว่า " ศูนย์วัสดุคึกรับธุรกิจอสังหาฯ
บูม" และยิ่งถ้าเปิดในหน้า 10 (ก่อสร้าง-ที่ดิน)
ยิ่งดู "ขัดแย้ง" ไปใหญ่ เพราะข่าวนำพาดหัวว่า "แลนด์-GIC
มั่นใจ ศก. ไทยฟื้นชัวร์ ตึกสูงซีบีดีเกลี้ยงลุยซื้อรอบนอก"
ความจริงมันเป็นยังไงกันแน่ นักลงทุน
ผู้บริโภค ตลอดจนชาวบ้านผู้เสพข่าว จะเลือกเชื่ออะไรดี
เศรษฐกิจกิจแย่จริง ๆ
ในเนื้อข่าวพาดหัวหลัก ชี้ชัดว่า "ฟันธงดอกเบี้ยลงบ่งชี้อาการเศรษฐกิจย่ำแย่
ระบุเอกชนไม่เห็นโอกาสลงทุนใหม่ที่ได้กำไรคุ้มค่า ส่งผลให้แบงก์พาณิชย์ไม่ยอมออกแรงดันสินเชื่อ" อย่างในญี่ปุ่นดอกเบี้ยแทบเหลือ
0% อยู่แล้วเพราะเศรษฐกิจกำลังแห้งตายลงทุกวัน
ประจักษ์หลักฐานของความย่ำแย่ทางเศรษฐกิจก็คือ
NPL ไม่ลด ส่งออกไม่เติบโตเท่าที่ควร ภาวะคุกคามทางเศรษฐกิจก็มีหลายประการ ตั้งแต่การสร้างหนี้ของปัจเจกบุคคลอย่างมหาศาลที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความสามารถในการแข่งขันกับเพื่อนบ้านที่ลดลง การก่อการร้าย เศรษฐกิจโลกตกต่ำ นี่ถ้าเกิดศึกสงครามขึ้นอีก
ภาวะคงยิ่งแย่ไปใหญ่
และอาจเข้ากลียุค หากความพยายามของรัฐบาลในการสร้างภาวะให้เกิดการหมุนเวียนของเงินไม่ได้ผล
กลายเป็นว่ามันระเหยหายไปในอากาศ เมื่อนั้นทุกอย่างก็คงเสื่อมทรุด จนแต้ม
อสังหาฯ ดีที่ไหน
ผู้บริโภคมักถูกหลอก แต่เดิมก็มักมีการสร้างกระแสว่า "รีบซื้อบ้านด่วน
หาไม่ราคาจะขึ้น" (ซึ่งเมื่อ 10 ปีก่อนเคยเป็นอย่างนี้จริง) ทั้งที่ความจริงในขณะนี้ก็คือ "รีบซื้อด่วน
หาไม่ผมคงจะเจ๊งไม่มีโอกาสอยู่ขายคุณอีกต่อไป"
ปัจจุบันก็หลอกโดยการสร้างกระแส
เช่น อสังหาฯ ขาดตลาด หลายฝ่ายรุมกันเปล่งเสียงเดียวกันออกมาเช่นนี้ ความจริงแล้ว
อสังหาฯ เป็นเหมือนทองหยอง คนจะซื้อก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจดี ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็ไม่รู้จะซื้อไปทำไม
ที่มีการซื้อขายกันเพิ่มขึ้นในขณะนี้
ส่วนหนึ่งเพราะการดุน+ดันของรัฐบาลโดยสร้างเงื่อนไขเอื้ออำนวยต่าง ๆ ทั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติก็สำรวจไว้ก่อนที่รัฐบาลจะกระตุ้นผู้ซื้อบ้านว่า
ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ถึง 76% ล้วนเป็นหนี้ และหนี้ส่วนใหญ่ก็คือการผ่อนบ้านอยู่แล้ว
อสังหาฯ วันหน้าจะเป็นไง
สถาบันการเงินต่าง ๆ ยังมีอสังหาฯ
รอขายอยู่มากมาย ถ้าต่อไปขายลดราคาลง ผู้ซื้อบ้านวันนี้จะ "เสียค่าโง่" อีกไหม
บ้านว่าง ๆ ที่ไม่มีผู้เข้าอยู่ยังมีอีกเป็นแสน ๆ หน่วย พวกนี้จะไม่เอาออกมาขายใหม่หรือ
เราเห็นผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาในตลาดหรือ ไม่มีเลย ที่มีอยู่ก็ล้วนเป็น "มือเก่า" ที่จำเป็นต้องดิ้นรนทำบ้าง
ทำเพื่อใช้หนี้บ้าง ถือเป็นอาชีพถาวรบ้าง อย่างนี้จะบอกว่า "ฟื้น" ได้ไง
อาคารสำนักงานเป็นไง
ที่มีข่าวว่าตึกสูงซีบีดีเกลี้ยง
ไม่เป็นความจริง พื้นที่ว่างแม้จะลดจากหนึ่งในสามเหลือหนึ่งในสี่ก็ยังถือว่ามหาศาล
เป็นการปล่อยทิ้งให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอยู่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีบริษัทนายหน้าข้ามชาติออกมา "บิดเบือน" ความจริงว่า
ตึกสูง 3-4 ปีมานี้ขายได้ราว 10 ตึก มากกว่าช่วง "บูม" ก่อนหน้านี้เสียอีก
เพื่อแสดงว่าอสังหาฯ ฟื้นแล้ว นี่เป็นการโกหก เพราะบ้านเราไม่ค่อยมีใครขายยกตึกอยู่แล้วซึ่งข้อนี้ต่างจากในต่างประเทศ
สำหรับอาคารสำนักงาน ขนาดใจกลางเมืองยังเหลือมากมาย
ชานเมืองยิ่งมีภาวะย่ำแย่ไปต่างหาก
สิ่งที่เราต้องตระหนักให้ดีก็คือ
การส่งเสริมการขายกับการประกอบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอาจแบ่งกันด้วยเส้นผมเพียงเส้นเดียว
ถ้าเราเป็นนายหน้าเราก็อาจพยายามพูดให้ขายได้ จูงใจให้คนซื้อ แต่ถ้าจะพูดเกินเลยจนเป็นการ "บิดเบือน" เสียแล้ว
ก็ไม่แคล้วเป็นการก่ออาชญากรรม
ผู้ซื้อบ้านโปรดระวัง
สิ่งที่ผู้ซื้อบ้านต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนเดิมอีกก็คือ
ต้องตรวจสอบสัญญาและสภาพบ้านให้ดี ราคาขายสมควรเหมาะสมหรือไม่ก็ต้องเปรียบเทียบดู
ทุกวันนี้ ใบราคาขายอาจตั้งสูงกว่าแต่ก่อนมาก แม้ลดลงมาแล้วก็ยังสูงอยู่ ถ้าไม่ดูให้ดี
ก็อาจเสียรู้ เสียใจได้ อย่าลืมว่า "เสียดายที่ไม่ได้ซื้อ ยังดีกว่าเสียดายที่ซื้อไปแล้ว" ในเนื้อข่าวพาดหัวหลักของประชาชาติก็ยังกล่าวว่า "ติงผู้บริโภคอย่าหลงกลโหมกู้เพราะดอกเบี้ยต่ำ"
ดอกเบี้ยไม่ใช่คำตอบ
อย่าหลงกลเรื่องดอกเบี้ยถูก ประสบการณ์การลงทุนในทรัพย์สิน-อสังหาริมทรัพย์สอนให้เรารู้ว่า
สำหรับการเป็นหนี้นั้น เราควรมีหลักยึดอยู่ 4 ประการคือ
1. ถ้าไม่จำเป็น ต้องไม่เป็นหนี้
(กรณีจำเป็นที่ต้องเป็นหนี้ก็ควรเป็นเพียงเพื่อลงทุนเท่านั้น การกู้เพื่อไปเสพสุขมีโอกาสจะประสบเคราะห์ในวันหน้า)
2. ถ้าเป็นหนี้ ต้องเป็นแต่น้อย
(ไม่เกินกำลังที่จะผ่อนได้ การกู้เงินจำนวนมาก ๆ ผ่อนสูง ๆ โดยไม่เผื่อเหลือเผื่อขาด
จะมีโอกาสเสียเครดิตได้)
3. ถ้าเป็นหนี้ อย่าเป็นหลายทาง
(เพราะจะทำให้มีโอกาสผิดพลาดในการบริหารเงิน และถ้าเราต้องชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่เรื่อย
เราก็อาจขาดสมาธิในการทำมาหากินในที่สุด)
4. ถ้าเป็นหนี้ จงใช้คืนโดยเร็วที่สุด
(ช่วงแรก ๆ ของการผ่อนใช้หนี้มักเป็นดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น ดังนั้นยิ่งผ่อนนาน
ยิ่งเสียดอกเบี้ยมาก) |