นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ
รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง
ชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ
สศช.นัดพิเศษเพื่อพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง
(บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะทาง 23 กม. มูลค่า 55,997
ล้านบาท ตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินในกิจการของรัฐ
พ.ศ.2535
ได้เห็นชอบรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลและเอกชน
โดยรัฐบาลจะลงทุนงานโยธา โครงสร้างพื้นฐาน
ขณะที่เอกชนลงทุนระบบรถไฟฟ้าจัดหาขบวนรถ
บริหารจัดการเดินรถและซ่อมบำรุง
เพราะจะไม่สร้างภาระให้กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(รฟม.) มากเกินไป
จะได้นำเงินไปลงทุนระบบรถไฟฟ้าเส้นอื่นได้ต่อเนื่อง
โดยจะนำเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาในวันที่ 2
ต.ค.นี้
โดยประเด็นที่จะนำเสนอ ครม.
ประกอบด้วยการให้รัฐเดินหน้าก่อสร้างงานโยธาและโครงสร้างพื้นฐาน
มูลค่า 31,217 ล้านบาท
และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง 1,248
ล้านบาทไปก่อน ซึ่งปรับลดลงจากที่ รฟม.เสนอมา
2,223 ล้านบาท
เพราะเห็นว่าควรผันแปรกับมูลค่าโครงการที่อนุมัติ
โดยจะใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี
และระหว่างนั้นจะพิจารณาหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนในส่วนของการจัดหาขบวนรถและการเดินรถมูลค่า
13,243 ล้านบาท โดยบอร์ด สศช.ให้
รฟม.กลับไปทำรายละเอียดรูปแบบการลงทุนของเอกชนโดยเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียกลับมาเสนอเพิ่มเติม
ส่วนค่ากรรมสิทธิ์ที่ดินและเวนคืนที่ รฟม.
เสนอมา 9,314 ล้านบาท
สูงขึ้นกว่าเท่าตัวจากเดิมที่เคยเสนอในปี 2548
วงเงิน 4,177 ล้านบาทนั้น
กระทรวงคมนาคมได้ขอให้กรมธนารักษ์พิจารณา
ความเหมาะสม จึงต้องรอผลการพิจารณากลับมาก่อน
แต่ในเบื้องต้นสำนักงบประมาณตั้งงบประมาณ
ไว้ให้แล้วในวงเงินเดิม
หากจะต้องเพิ่มขึ้นจริงทางสำนักงบประมาณคงมีปัญหาเช่นกัน
"บอร์ด สศช. มีความเห็นว่าโครงการนี้ล่าช้ามานาน
และภาวะการลงทุนของประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว
ดังนั้น
การลงทุนรถไฟฟ้าจึงมีความจำเป็นในเวลานี้ที่
จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนของภาครัฐและให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต
และ รฟม.ก็มีความพร้อมเตรียมงานก่อสร้าง
จึงน่าเดินหน้างานโครงสร้างพื้นฐานไปก่อนได้
ส่วนแหล่งเงินนั้นกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณา
หาก
ครม.อนุมัติทั้งกระบวนการน่าจะได้ผู้รับเหมางานโยธาในเดือน
มี.ค.ปีหน้า"
ทั้งนี้
ความเห็นที่ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในระบบขบวนรถและการเดินรถ
เป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับเอกชน
และรัฐบาลจะประหยัดเงินในการวางระบบรถไฟฟ้า
เมื่อรวมทั้ง 5 สาย คือ สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง
สายสีแดง สายสีเขียวอ่อน และสายสีเขียวเข้ม
จะประหยัดได้ 54,000 ล้านบาท
ช่วยลดค่าใช้จ่ายภาครัฐรวมถึงลดภาระหนี้สาธารณะได้. |