ข้อคิดกรณี "ยกเลิก" รถไฟฟ้าสายสีม่วง
ดร.โสภณ พรโชคชัย<1> (sopon@thaiappraisal.org)
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย<2>
โครงการสาธารณูปโภคมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ การมีแนวคิดที่จะยกเลิกรถไฟฟ้าสายสีม่วง จึงนับเป็นการ ช็อก ความรู้สึกของคนจำนวนมาก กรณีนี้มีข้อคิดที่น่าสนใจบางประการที่ขอนำเสนอไว้ในที่นี้
1. มูลค่าของที่ดินแถวบางใหญ่เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของที่ดินพบว่า มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงมากจริง ๆ กรณีแปลงตัวอย่างเช่น ที่ดินขนาด 16 ไร่ติดถนนรัตนาธิเบศร์ใกล้ซอยวัดท่าอิฐ ทาง AREA (www.area.co.th) ประเมินไว้ ณ สิ้นปี 2547 เป็นเงิน 37,400 บาท และการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินเทียบกับปี 2546 แล้วสูงขึ้นถึง 9.8% (จาก 103% เป็น 113% ตามราคา ณ ปี 2537) ในขณะที่ทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ราคาที่ดินขยับขึ้นเฉลี่ย 5.5% การที่ราคาขยับสูงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะบริเวณนี้มีถนนตัดใหม่ (ถ.พระรามที่ 5) และโดยทั่วไปย่านชานเมืองต่าง ๆ มักมีการเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าใจกลางเมือง อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินนี้ก็คงเป็นผลจากความคาดหวังที่จะมีรถไฟฟ้าด้วยก็ได้ โดยเฉพาะราคาเรียกขายในหมู่นักเก็งกำไร
2. บทเรียนสำคัญที่ควรกล่าวถึงสำหรับกรณีนี้ก็คือ รัฐบาลขาดความแน่นอนในการดำเนินการ นับเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้น รถไฟฟ้าสายสีม่วงนี้เริ่มมาจากผลการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2547 <3> ต่อมาก็ได้มีกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินที่ดินมาตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2548 <4> ต่อมาก็มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 28 กันยายน 2547 ให้ก่อสร้างได้ <5> แล้วอยู่ ๆ พอมาถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2548 ขณะที่ทาง รฟม. อยู่ในระหว่างการขายเอกสารคัดเลือกผู้รับเหมา ก็ประกาศว่าจะ ปรับ รถไฟฟ้าทำให้ประหยัดงบลงทุน 200,000 ล้านบาท <6> ในอนาคตหากมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้อีก อาจมีปฏิกิริยาในทางลบอย่างยิ่งจากสังคม
3. การที่จู่ ๆ รถไฟฟ้าก็ถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็น BRT (Bus Rapid Transit) ในเส้นทางใหม่โดยอ้างว่าไม่คุ้มทุนนั้น สะท้อนถึงกระบวนการจัดการศึกษาและวางแผนในประเทศไทย กล่าวคือการศึกษาที่ผ่านมาอาจขาดความแน่นอน แม่นยำจึงทำให้รถไฟฟ้าถูกยกเลิกไป (อย่างง่ายดาย) แต่ถ้าไม่ใช่เพราะการศึกษาและวางแผนที่ผ่านมาไม่ได้มีคุณภาพไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะการตัดสินใจในทางการเมือง ก็สมควรที่ผู้ทำการศึกษาและหน่วยงานที่รับผิดชอบจะ แอ่นอก ออกมายืนยันผลการศึกษา ยืนยันในทางวิชาการ-วิชาชีพให้มั่นคงว่า ที่ศึกษามานั้นถูกต้องแล้ว อยู่ ๆ จะมาเปลี่ยนเป็น BRT ไม่ได้ เราควรมีนักวิชาการ นักปฏิบัติที่ยึดมั่นในหลักการและเป็นหลักในการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่กริ่งเกรงการเมืองจนไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัว (ตำแหน่งหลุด)
4. การที่เกิดความแตกตื่นใหญ่แสดงว่าประชาชนฝากความหวังไว้กับการพัฒนาสาธารณูปโภคของรัฐเป็นอย่างมาก เท่ากับว่าการจราจรในภาวะปัจจุบันวิกฤติหนักมาก หากมีโครงการขนส่งมวลชนเกิดขึ้นจริง ก็เท่ากับเป็นความหวังใหม่อันเรืองรองของประชาชน โดยนัยนี้การสร้างระบบขนส่งมวลชนบ้านเราจึงมีโอกาสที่จะเป็นไปได้มากเพราะจะได้รับการสนับสนุนจากมหาชน ส่วนที่อาจมีแรงต้านบ้างก็เพียงส่วนน้อยนิด
5. อย่างไรก็ตามความหวังเช่นนี้ยังถือเป็นเพียงประหนึ่ง ความฝัน เราคงไม่ได้สรุปบทเรียนเลยว่า ที่ผ่านมามีโครงการสาธารณูปโภคมากมายได้ล้มเลิก ล่าช้าหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อมาแล้ว ถ้าเราข้ามสะพานพระปกเกล้า เราจะเห็นแท่นคอนกรีตขนาดใหญ่คู่ขนานกับสะพาน นั่นคือตอม่อรถไฟฟ้าที่สร้างคาไว้ และเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นที่วางกระถางไม้ประดับไปแล้ว ที่บริเวณริเวอร์ซิตี้ ก็มี ตอ รถไฟฟ้าอยู่เหมือนกัน แม้แต่โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เราก็เห็นอยู่เต็มตาว่าใช้เวลาเกือบครึ่งร้อยปี! ดังนั้นเราจึงควรเผื่อใจไว้บ้าง ตามทำนอง ไม่เห็นน้ำ อย่าตัดกระบอก ไม่เห็นกระรอก อย่าโก่งหน้าไม้ และการรีบซื้อบ้านโดยปักใจเชื่อโฆษณาดังกล่าว จึงถือเป็น ชิงสุกก่อนห่าม ถ้าเป็นกรณีรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่เมื่อสอง-สามปีก่อนที่กำลังก่อสร้างไปทางตากสิน-กาญจนาภิเษก ก็ว่าไปอย่าง กรณีนั้นรถไฟฟ้ามาแน่และราคาที่ดินขึ้นแน่
6. กรณีที่ผู้ประกอบการหมู่บ้านจัดสรรต่าง ๆ โฆษณาว่า โครงการของตนมีดีที่รถไฟฟ้า แล้ว วันดีคืนร้าย รถไฟฟ้าไม่มาหรือไม่มีเสียแล้ว กรณีนี้ก็คงไปโทษผู้ประกอบการไม่ได้ เขาก็เชื่อข่าวสารของทางราชการเช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป ชาวบ้านจะไปขอเงินคืนจากผู้ประกอบการก็คงไม่ได้ ถือได้ว่าชาวบ้านผิดสัญญา ถ้าจะทิ้งเงินดาวน์ก็คงได้แต่ก็ต้องชั่งใจว่าคุ้มไหมที่จะทิ้ง อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการก็คงไม่อยากให้ทิ้งเพราะไม่อยากไปหาลูกค้ารายใหม่ ดังนั้นจึงอาจสามารถเจรจาผ่อนหนักเป็นเบาเพื่อไม่ให้เสียหายกันทั้งสองฝ่าย จะหาว่าผู้ประกอบการได้บวกค่ารถไฟฟ้าไปด้วยก็คงไม่ได้เพราะรถไฟฟ้าก็ยังเพียง อากาศธาตุ เท่านั้น
7. ผลเสียหายมากมายส่วนหนึ่งเพราะความไม่รอบรู้ของตัวเองไม่ใช่ใครอื่น เช่น ใคร เชื่อคนง่าย / หูเบา แล้วไปซื้อที่ดินราคาแพงมาพัฒนาโครงการ ก็ทำให้ต้นทุนที่ดินสูงผิดปกติ พอไม่มีรถไฟฟ้าแล้ว ราคาดังกล่าวก็อาจสูงเกินไป ชาวบ้านบางคนก็บอกว่าหมดเงินไปหลายแสนกับการไป เซ้ง พื้นที่ในศูนย์การค้าในบริเวณที่เชื่อว่ารถไฟฟ้าจะผ่าน กรณีนี้แสดงชัดว่าชาวบ้านยังขาดความรอบรู้ทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เพราะอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้ามักมีความเสี่ยงสูง การ เซ้ง (เช่าระยะยาว เช่น 10-30 ปี) พื้นที่ต้องไตร่ตรองให้จงหนัก เพราะ เราไม่รู้ว่าในอนาคตศูนย์การค้านั้น ๆ จะมี สายป่าน รณรงค์ให้คนเข้ามาใช้บริการได้มากน้อยเพียงใด
8. สิ่งที่ถือว่า อนาถ สำหรับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนบ้านเราก็คือ เราต้องทำรถไฟฟ้าไปตามถนนปัจจุบัน ซึ่งก็คดเคี้ยว ไม่ได้ตัดตรง ย่นระยะทางเท่าที่ควร แต่การมีระบบขนส่งมวลชนก็ยังดีกว่าไม่มีเลย สังเกตดูว่าในกรุงเทพมหานครของเราได้กำหนดให้มีที่จอดรถต่ออาคารสูงมาก ในแง่หนึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้มีที่จอดรถเพียงพอ แต่ในอีกแง่หนึ่งเมื่อพิจารณาในมุมกว้าง ก็เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ต้องมาสร้างที่จอดรถมากมายในพื้นที่ธุรกิจใจกลางเมืองที่ราคาที่ดินแพงระยับ และยิ่งถ้าคิดจะทำ BRT ด้วยแล้วยิ่ง อนาถ หนักเข้าไปอีก เพราะจะสูญเสียช่องทางจราจรที่มีอยู่น้อยนิดไปเลย ทั้งยังเป็นระบบที่พบน้อยนักในโลกนี้
9. การทำรถไฟฟ้านั้น นอกจากภาครัฐจะลงทุนทำเองแล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาอีกแง่หนึ่งก็คือ ควรให้ภาคเอกชน ทั้งจากภายในและจากต่างประเทศได้มีส่วนร่วมในการลงทุนด้วย เช่นกรณีรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งกรณีเช่นนี้รัฐบาลก็ไม่ต้องเสียเงินก้อนโตในการดำเนินการ หนี้สาธารณะก็ไม่เกิด อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องคิดในรายละเอียดก็คือ การสนับสนุนจากภาครัฐในทางอ้อม ท่านลองสังเกตดูว่า ในนครนิวยอร์ค ขึ้นรถไฟฟ้าของเขาก็เสียเงินเที่ยวละ 1 เหรียญสหรัฐ (40 บาท) ของเราก็พอ ๆ กัน แต่ท่านก็ทราบว่า ค่าครองชีพของไทยเราต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 5 เท่า <7> นี่แสดงว่า ถ้าเป็นกรณีประเทศไทย เราควรเก็บเพียง 8 บาทเท่านั้น ในนครนิวยอร์คนั้น มีการอุดหนุนระบบขนส่งมวลชน ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกและที่สำคัญถูกกว่าขับรถเอง โดยสรุปแล้วสิ่งที่เราทำได้ในการอุดหนุนภาคเอกชนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนก็คือ การละเว้นภาษี การนำที่ดินที่เกี่ยวเนื่องมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์เพื่อทดแทนการนำงบประมาณแผ่นดินที่เก็บมาจากเงินภาษีประชาชนไปอุดหนุนโดยตรง เป็นต้น
หวังว่าจากบทเรียนนี้จะทำให้ทุกฝ่ายมีความระมัดระวังมากขึ้นต่อความแน่นอนในการพัฒนาสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และความรอบรู้ในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย (win-win) ไม่ใช่หรือหลงเชื่อข้อมูล (เท็จ/ลวง) อย่างไม่ลืมหูลืมตา
|