อยู่อย่างติดดินบ้าง
8 มิถุนายน 2553
ดร.โสภณ พรโชคชัย
บันทึกเรื่องราวสบาย ๆ ติดดิน ไม่มีการเมือง (ฮา) . . . .
ทั้งที่เป็นวันหยุดพักผ่อน แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2553 ผมก็ยังทำงาน และบ่ายวันนั้น ผมกลับจากสำรวจข้อมูลเพื่อการประเมินอสังหาริมทรัพย์ที่สะวันนะเขต ประเทศลาวมาถึงฝั่งมุกดาหาร ผมจะไปต่อที่หนองคาย เพื่อเข้ากรุงเวียงจันทน์ ปรากฏว่ารถเช่าคิดค่าเช่าตั้ง 3,500 บาท เพื่อนผมที่เป็นคนมุกดาหาร ก็ยังส่ายหน้า และแนะนำให้ผมขึ้นรถ บขส.ไป ซึ่งเสียเงินเพียง 250 บาทเท่านั้น
อันที่จริงผมก็ตั้งใจจะนั่งรถเช่า ผมเตรียมเอาขลุ่ยไปด้วยแล้ว กะว่าระหว่างทาง จะได้นั่งเบาะหลังเป่าขลุ่ยให้สบายใจหลังจากตรากตรำมาทั้งวันที่สะหวันนะเขต และคืนก่อนหน้านี้ผมก็นั่งอดตาหลับขับตานอนอยู่บนรถทัวร์จากกรุงเทพมหานครไปมุกดาหารอีกต่างหาก แต่ผมก็มาคิดว่าน่าจะลองนั่ง บขส. ดู จะได้เป็นมิตรกับความยากลำบาก กลับสู่การอยู่แบบติดดินบ้าง ทดสอบร่างกายและจิตใจของตัวเอง
เพื่อนผมและครอบครัวจึงพาผมไปติดต่อรถ บขส. ปรากฏว่ารถไปหนองคายหมดแล้ว ต้องไปต่อที่อุดรธานี ผมก็ยินดี แต่คนจองตั๋วบอกว่ารถเต็มนะ ต้องยืน ผมก็ไม่ว่าอะไร จองตั๋วเสร็จผมก็ร่ำลากับเพื่อนและครอบครัวของเขา ผมก็รอรถ แต่รถมาช้า รออยู่เกือบชี่วโมง พอผมขึ้นรถได้ก็ปรากฏว่ารถอัดแน่นเหมือนปลากระป๋อง กระเป๋าก็พยายามให้ทุกคนเบียดกันให้ร่างกายแนบชิด! ไม่เป็นไร ผมก็ทำใจไว้แล้ว ขอรู้จักความลำบากสักวัน วันนั้นเป็นวันหยุดสุดท้ายของสงกรานต์ คนก็เดินทางกันมากเสียด้วย
ผมยืนอยู่บนรถนานถึง 3 ชั่วโมง แทบไม่มีคนลง มีคนขึ้นมาเรื่อย ๆ รถวิ่งตุปัดตุเป๋จากสถานีนี้ไปสถานีนั้น จนถึงสกลนคร กว่าจะได้นั่งก็เล่นเอาเมื่อยขาแข็งไปหมด ยืนอยู่บนรถติดแอร์ที่มีคนเบียดเสียดยัดเยียดกันนั้น ร้อนก็ร้อน หายใจก็ยาก ดีที่หวัดนก หวัดหมู หมดไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงเสียวอีกต่างหาก ผมได้นั่งไปอีก 2 ชั่วโมงกว่าจึงไปถึงอุดรธานี หนุ่ม ๆ หลายคนทนยืนตลอดทางเลย น่าสงสารเหมือนกัน
ผมมาถึงอุดรธานี ก็ปรากฏว่ารถไปหนองคายก็หมดเสียแล้ว ผมเหลือบเห็นป้ายท่ารถจากอุดรธานีไปเวียงจันทน์ ก็เลยใจชื้น ถามได้ความว่าค่ารถเพียง 80 บาท และให้ไปจองตั๋วเวลา 07:00 น. ในวันรุ่งขึ้น คืนนั้นผมเลยได้นอนที่อุดรธานี ในใจผมนึกอยู่เหมือนกันว่า ถ้ามีร้านนวดแผนโบราณ จะยอมให้นวดสักหน่อย ใช้ชีวิตกฎุมพีสัก 1-2 ชั่วโมง เผื่อจะได้หายเมื่อยขบบ้าง ปรากฏว่าในละแวก บขส.นั้น ไม่มีร้านนวดเลย
ผมเดินไปเดินมาพบโรงแรมแห่งหนึ่ง สภาพภายนอกพอใช้ได้ ถามสนนราคาค่าเช่า พบว่าราคาห้องแอร์เพียง 300 บาท ห้องพัดลมก็ 200 บาท ผมนึกในใจว่าถ้าผมไปนอนโรงแรมชั้นหนึ่งใกล้ ๆ นั้น ราคาก็คงราว 2,500 บาท แต่ผมคิดไปคิดมาว่าไหน ๆ ก็อุตสาห์บำเพ็ญทุกรกิริยาแล้ว ก็ลองนอนแบบถูก ๆ เอาเสียบ้าง จะได้มีชีวิตติดดิน ไม่ยึดติด ผมจ่ายค่าเช่าห้องแอร์ไป
หลังจากเก็บของแล้ว ผมก็ไปทานอาหารเย็นแบบพื้น ๆ ในศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้สถานีขนส่ง แล้วก็หาร้านอินเตอร์เน็ตเพื่อ update สถานการณ์ต่าง ๆ เสียหน่อย จากนั้นก็เข้านอนด้วยความหวาดเสียว เพราะพอดีเป็นโรงแรมเล็ก ๆ พื้น ๆ ก็กลัวโดนใครบุกเข้ามาชิงทรัพย์หรือทำร้ายเหมือนกัน สมบัติติดตัวผมไม่ค่อยมีหรอกครับ แต่พอมีสมบัติพัสถานในกรุงเทพมหานครบ้าง เลยไม่ใช่คนที่ไม่มีอะไรจะสูญเสียซะทีเดียว (ฮา)
เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็นั่งรถผ่านหนองคาย ข้ามฝั่งไปเวียงจันทน์จนสำเร็จ ได้พบกับท่านรองอธิบดีกรมที่ดิน และคณะเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ หลายคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้วย และยังได้ไปสำรวจข้อมูลต่าง ๆ อีกมากหลาย เดินเป็นกิโล ๆ บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งลาวเพื่อสำรวจช้อมูลบางประการ
จากนั้นในค่ำคืนนั้นผมก็ข้ามฝั่งมายังหนองคาย ผมได้จองตั๋วโดยสารรถโดยสาร VIP ไว้เพื่อกลับตอน 2 ทุ่ม กะจะถึงกรุงเทพมหานคร 05:00 ของวันอังคารที่ 20 เมษายน 2553 เพื่อกอดลูกเมียสักหน่อย เพราะวันนั้น ลูกต้องไปออกค่ายหรืออะไรสักอย่าง แต่เจ้ากรรมปรากฏว่ารถถึงกรุงเทพมหานครช้ากว่าปกติ ก็เลยกลับบ้านไม่ทันได้กอดรวมพลังสามัคคีเลย ไม่เป็นไร วันหลังยังมี (ฮา)
นี่แหละครับเรื่องราวผจญภัย บำเพ็ญทุกรกิริยาของผม ซึ่งก็ถือว่าจิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับคนยากไร้ ผมไม่ได้ขี้เหนียวหรอกครับ ความจริงผมบินตรงไปเวียงจันทน์เลยก็ได้ แต่ด้วยความที่อยากจะหาข้อมูลให้มากเกินคำสั่ง บริการให้มากกว่าความคาดหวังของลูกค้า ก็เลยตรงไปที่สะหวันนะเขต แล้วค่อยไปต่อเวียงจันทน์
ที่สำคัญผมก็อยากจะได้อยู่กินอย่างติดดินบ้างเท่านั้น ปกติน้อง ๆ หลาน ๆ เพื่อนร่วมงานของผม ก็ออกตะลอน ๆ หาข้อมูล แม้ไม่ได้ไปอย่างทุลักทะเลหรือนอนโรงแรมถูก ๆ เช่นผม แต่ก็ใช่จะสบายอะไรมาก ผมได้ไปทำอย่างนี้บ้าง จะได้รู้สึกเห็นใจกันและกันมากขึ้นครับ
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง เพื่อนของผม คุณสมศักดิ์ ลาภานันท์ (เพื่อนสมัยเทพศิรินทร์ - ธรรมศาสตร์)และครอบครัวมาส่ง จริง ๆ ศรีภรรยาของเพื่อนผมท่านนี้พาผมไปเช่าเหมารถจากมุกดาหารไป ครอบครัวนี้น่ารัก นับถือมาก
สถานการณ์บนรถปรับอากาศ (แต่ร้อน) เบียดเสียดกันหนัก ผมฉวยโอกาสถ่ายรูป โชคดีไม่มีใครหงุดหงิด จัดการผม (ฮา)
จากมุกดาหาร ถึงสกลนคร 3 ชั่วโมงถึงได้นั่ง แต่หนุ่ม ๆ บางคนเสียสละยืนไปตลอดทางเลย แต่บางคนหนุ่ม ๆ แต่ใจเด็กหรือใจชรา ก็มี (ฮา)
นี่แหละครับสภาพโรงแรม 300 บาทต่อคืนที่ผมนอน ผ้าห่มกับผ้าเช็ดตัว ผมก็ไม่ได้นำไป แต่แทบไม่กล้าใช้เลย เสียววุ๊ย (ฮา)
คนเล็กคนน้อย คนสิ้นไร้ไม้ตอก ก็พอมี เราต้องไม่เหยียดหยามเขา
พบรองอธิบดีกรมที่ดินของลาว Monday, April 19, 2010: Meeting the Deputy Director General (middle) of the National Land Management Authority, Laos and Mr.Ekvinay Sayaraj, Deputy Director of Land and National Resource Research Division.
Monday, April 19, 2010: Meeting the Acting General Director (middle) of the LNRRIC, National Land Management Authority, Laos and Mr.Ekvinay Sayaraj, Deputy Director of Land and National Resource Research Division.
|