ธรรมะจากท่านติช นัท ฮันห์
ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย <2>
เมื่อวันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2550 ผมได้โอกาสอันดีไปฟังธรรมจากท่านติช นัท ฮันห์ <3> พระนิกายเซ็นชาวเวียดนาม ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงขออนุญาตนำเสนอตามความเข้าใจเฉพาะที่ได้ฟัง เพราะผมก็ไม่ค่อยมีพื้นฐานความรู้ทางด้านศาสนา จึงจับความได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าท่านที่อ่านมีความเห็นเป็นอื่น โปรดชี้แนะด้วยนะครับ
โหมโรง
เริ่มต้นการบรรยายธรรมด้วยการร้องเพลงและนั่งสมาธิ ในส่วนของการร้องเพลงยังมีพระออกมานั่งดีดกีตาร์ และร้องเพลงประกอบ เป็นภาพที่แตกต่างไปจากภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย แต่ก็ดำเนินไปด้วยความสำรวมและเป็นการเรียกศรัทธาและสร้างสมาธิ ในทางตรงกันข้ามพระไทยประเภทมาร่วมเล่นสาดน้ำในเทศกาลสงกรานต์อย่างลืมตัว หรืออยู่เมืองนอกเลยขับรถหน้าตาเฉย ก็ยังมีให้เห็น
พระไพศาล วิสาโล <4> ได้กล่าวสรรเสริญท่านติช นัท ฮันห์เกี่ยวกับบทบาทของท่านในการหยุดสงครามเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ผมมีความเห็นต่างในบางประเด็น เช่น
1. สงครามเวียดนามไม่ได้หยุดเพราะท่านติช นัท ฮันห์ แต่หยุดเพราะสหรัฐอเมริกาทนความสูญเสียต่อไปไม่ได้แล้ว (คล้ายกับกรณีญี่ปุ่นที่ยอมในสงครามโลกครั้งที่ 2) และสหรัฐอเมริกาจะทิ้งระเบิดปรมาณู ก็ทำไม่ได้ในสถานการณ์สากลใหม่ จึงจำยอมเลิกทำสงคราม
2. การที่พระเวียดนามประกอบอารยะขัดขืน (civil disobedience) ด้วยการเผาตัวตาย <5> ณ นครโฮชิมินห์ในช่วงสงครามเวียดนาม เป็นความสลดอย่างหนึ่ง แต่คงไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอเมริกันต่อต้านสงครามเท่ากับความสะเทือนใจที่ญาติมิตรของพวกตนไปตายในเวียดนามเป็นจำนวนมาก
3. พระไพศาลอ้างอิงว่าท่านติช นัท ฮันห์ ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ดร.มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (ผู้ได้รับรางวัลปี 2507) ได้เสนอชื่อท่านจริงเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2510 แต่คณะกรรมการตัดสินว่าไม่ควรมีใครได้รางวัลดังกล่าวในช่วงปี 2509-2510 (ยุคนั้นท่านอาจยังอาจไม่ ดัง เท่าทุกวันนี้) ส่วนปี 2508 และปี 2511 ผู้ได้รับรางวัลนี้คือ องค์การยูนิเซฟที่ช่วยเหลือเด็กทั่วโลก และนายเรเน คาสสิน (Rene Cassin) ประธานศาลยุโรปเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีบทบาทที่กว้างขวางกว่ากรณีเฉพาะประเทศเวียดนาม <6>
อุปมามือซ้าย-มือขวา
ท่านติช นัท ฮันห์ เริ่มต้นแสดงธรรมด้วยการเปรียบเทียบไว้อย่างน่าฟังว่า ท่านเคยพยายามใช้มือซ้ายแปรงฟัน แรก ๆ มือขวาก็ยกขึ้นมาโดยอัตโนมัติเพราะอยากช่วยมือซ้าย แต่ถ้าพยายามแปรงด้วยมือซ้ายไปเรื่อย มือซ้ายก็จะทำได้ไม่แพ้มือขวา มือซ้ายกับมือขวาไม่เคยทะเลาะกัน มือขวาก็ไม่เคยคิดว่าตนดีกว่า หรือเห็นมือซ้ายด้อยกว่า มือซ้ายก็ไม่เคยอิจฉามือขวาหรือรู้สึกด้อย ตอนตอกตะปูหากตอกผิดถูกมือข้างหนึ่ง อีกมือก็จะรีบฉวยอีกมือขึ้นมาด้วยความอาทร เป็นต้น
อุปมาที่ท่านยกขึ้นนี้งดงามดี และก็คงคล้าย ๆ กับขาซ้ายและขาขวา เป็นการสร้างแบบจำลองให้ง่าย (simplify) ให้เข้าใจถึงความรักโดยไม่แบ่งแยก อย่างไรก็ตามอวัยวะบางอย่างในร่างกายของเรา ก็อาจไม่ประสานกันเท่าที่ควร เช่น ลิ้นกับฟัน หรือแม้แต่มือทั้งสองข้างเอง บางทีก็สะบัดขัดกัน เช่น ในช่วงวิกฤติยามขับรถหรือการแสดงศิลปการต่อสู้ เป็นต้น ในความเป็นจริงการจะประสานกันหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับใจของเราเป็นสำคัญ บางทีสั่งอวัยวะสับสน ก็จะเกิดปัญหาได้ และถ้ามือแต่ละข้างไม่ได้ถูกสั่งโดยใจดวงเดียวกัน แต่ต่างมีใจของตนเองในการสั่งแล้วล่ะก็ การประสานกันดังว่าคงไม่เกิดขึ้น
พรหมวิหาร 4
หลักธรรมสำคัญที่ท่านแสดงในค่ำวันนั้นก็คือพรหมวิหาร 4 ซึ่งประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา จะสังเกตได้ว่าธรรมะที่แสดงก็เป็นสิ่งที่รู้ ๆ กันทั่วไป แต่กลเม็ด (gimmick) สำคัญอยู่ที่การอธิบายด้วยตัวอย่างที่กินใจ ท่านพูดว่าบางทีพ่อที่รักลูก แต่ไม่เข้าใจลูก ก็อาจยิ่งทำให้ลูกทุกข์หนัก พ่อที่ดีจึงต้องพยายามเข้าใจความทุกข์ของลูก จึงจะแสดงความรักได้ถูกทาง ถ้าไปกดดันลูกด้วยรัก ก็อาจทำให้ลูกเจ็บปวด ดังนั้นถ้าเราเข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น เราก็จะไม่ทำให้คนอื่นเกิดทุกข์ ท่านยังมีคำพูดที่ลึกซึ้ง ทำนองว่า บางทีเราแปรความรักของเราให้เป็นกรงขัง กลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายหายใจไม่ออก
ท่านติช นัท ฮันห์ ใช้ ความรัก ในการอธิบายพรหมวิหาร 4 ซึ่งก็คล้าย ๆ กับคำสอนของท่าน
พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) <7> แต่ที่อธิบายแบบมาตรฐานทั่วไปโดยไม่ปรุงแต่ง (ด้วยความรัก) ซึ่งชาวพุทธพึงยึดถือก็คือ พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่ เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข กรุณา ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มุทิตา ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี และอุเบกขา การรู้จักวางเฉย <8>
ว่าด้วยการก่อการร้าย
ท่านติช นัท ฮันห์ เคยเชิญทั้งชาวยิวและชาวปาเลสไตน์ไปคุยกันที่หมู่บ้านพลัม ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพำนักในประเทศฝรั่งเศส ปรากฏว่าแรก ๆ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ยอมคุยหรือฟังกันและกันนัก แต่ด้วยความพยายามให้เกิดการฟังเชิงลึก (deep listening) การไม่ทุ่มเถียงกันด้วยเหตุผลในทันที การให้โอกาสกันและกันในการเรียนรู้บนพื้นฐานของความรัก ก็กลับทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันและกันได้ ท่านหวังให้ตัวแทนทั้งสองฝ่ายนี้กลับไปบ้านเกิด ไปเปิดการคุยกันเพิ่มขึ้นเพื่อสันติภาพ แต่ผมคิดว่าคงไม่ได้ผลจริงจัง อาจได้บางส่วน แต่เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ของทั้งสองประเทศคงไม่ทันได้คุยกันแน่ กว่าจะคุยกันหมดก็คงฆ่ากันตายเป็นเบือแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงประเทศทั้งสองก็มีผู้รักสันติภาพมากขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งคงไม่ใช่เพราะมาฟังท่านติช นัท ฮันห์ แต่เป็นเพราะประชาชนเบื่อหน่ายกับการสู้รบ และแนวโน้มที่นักการเมืองที่เห็นแก่สันติภาพจะได้รับเลือกตั้งก็จะมีมากขึ้น ในฝ่ายประชาชนเอง ก็ยังมีกรณีหนุ่มสาวปาเลสไตน์และอิสราเอลแต่งงานกันเองทั้งที่ต่างชาติและศาสนา <9>
ท่านบอกว่า หลังเกิดเหตุการณ์ถล่มตึก World Trade Center 2 วัน ท่านไปแสดงปาฐกถาให้ชาวอเมริกันที่นับถือพุทธประมาณ 4,000 คนฟัง พยายามชี้ให้ชาวอเมริกันได้ทบทวนว่า อเมริกันได้ทำอะไรลงไป จึงต้องโดนอย่างนี้ ท่านบอกว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ฟัง จึงเกิดสงครามอิรัก แต่ความจริงสงครามอิรักเกิดเพราะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลต่างหาก และที่สำคัญก็คือ การที่รัฐบาลอเมริกันไปทำอะไรไม่ดีไว้ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับประชาชนอเมริกัน ยังไงเสียคนที่ไม่มีญาติมิตรที่ตายในเหตุการณ์นี้ ก็คงไม่เข้าใจถึงความเจ็บปวดของความสูญเสียมากนัก
ภาคใต้ของไทยทำไงดี
ท่านยังมีข้อเสนอแนะในกรณีภาคใต้เช่นเดียวกับกรณียิวและปาเลสไตน์ คือ การชี้ให้เห็นว่าเราเคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติมานาน ต่อไปในอนาคตก็คงอยู่ร่วมกันเช่นนี้ได้ และควรให้มีกิจกรรมการฟังเชิงลึก ถ้าเราทำผิดตรงไหน ก็ควรขอโทษ (เช่น ถ้าข้าราชการไทยไปล่วงเกินชาวมุสลิม หรือในทางตรงกันข้าม) ข้อนี้สงสัยท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อาจไปฟังท่านมาล่วงหน้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบจึงไป กล่าวขอโทษประชาชนแทนเจ้าหน้าที่-รัฐบาลชุดที่แล้ว และเผา black list โจรใต้มาครั้งหนึ่งแล้ว <10>
ในเชิงกลยุทธ ผมเห็นว่าควรมีการประชุมผู้นำชุมชนและผู้นำศาสนาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ่อย ๆ เพื่อรับฟังความเห็นและเป็นการเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเป็นการหาแนวทางขจัดความทุกข์ของประชาชน ความจริงควรนำกรณีศึกษาของผู้สูญเสียมาให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกรณีที่ผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตายแทบทุกวันทั้งจากฝีมือโจรใต้และข้าราชการเพื่อให้เห็นความทุกข์ (แต่ไม่ใช่แค้น) และถือเป็นการเปิดโอกาสให้มีทางออก ให้เสียงของประชาชนได้ยินโดยคนส่วนใหญ่และผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ทำให้เกิดพลังประชาชนในการร่วมหยุดยั้งความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม คำพูดที่ว่า ยิ่งฆ่าผู้ก่อการร้าย ยิ่งเพิ่มจำนวน ข้อนี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ ผู้ก่อการร้าย ยืนอยู่ข้างความเป็นธรรม เช่น กรณีการขยายตัวของกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยในอดีต หาไม่ ก็คงไม่เพิ่มขึ้น กลับจะทำให้โจรหัวหดอีกต่างหาก เช่นกรณีพ่อค้ายาเสพติดหรือโจรห้าร้อยทั่วไป ดังนั้นถ้ารัฐบาลสามารถสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โอกาสที่สันติภาพจะกลับคืนมาก็คงมี และอย่าลืมว่า ตบมือข้างเดียว คงไม่ดัง ของทุกอย่างมักมีเป็นคู่ เช่น มีการใช้พระคุณก็ต้องใช้พระเดชคู่ไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ และปฏิบัติการทางจิตวิทยา (ที่จริงใจ) ในการเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ก็เป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้
หลุดพ้นได้กี่คน
การเข้าหาศาสนาไม่ว่าในฐานะเพื่อบำบัดจิต เพื่อทำดีต่อโลก หรือเพื่อการเสพศาสนาทั่วไปนั้น มีความปิติอยู่ ความสง่างามจากความเรียบง่าย ความช้า ความสงบ สบายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการฟังธรรม แต่จะสังเกตได้ว่า ธรรมะที่แสดงนั้นมักเป็นเรื่องง่าย ๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ เมื่อเดือนมกราคม 2550 ผมก็ได้มีโอกาสไปฟังธรรมะของท่านภิกษุณีเท็นซิน พัลโม ซึ่งมาจากสำนักทิเบต ท่านก็จับเรื่องทานบารมีมาแสดง <11> โดยนัยนี้อาจกล่าวได้ว่าชาวบ้านทั่วไปคงยากที่จะเข้าถึงธรรมะที่ลึกซึ้ง
คนที่จะมาฝึกฟังเชิงลึกจนสามารถปฏิบัติตามพรหมวิหาร 4 นั้น คงเป็นคนส่วนน้อยที่พิเศษ ยากที่คนส่วนใหญ่จะยึดถือปฏิบัติได้ การฟังก็ได้พบเหตุผลเข้าท่า น่าจูงใจให้ปฏิบัติดี แต่การน้อมใจปฏิบัติให้ได้ คงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ เข้าทำนอง Exception cannot be made norm หรือไม่ หรือว่าการบรรลุธรรมนั้นเป็นธรรมชาติของการคัดสรรคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ยังไงก็คงเข้าไม่ถึง จะให้คนส่วนน้อยนี้ไปเผยแพร่ถึงคนส่วนใหญ่ ก็คง กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ หรือไม่ ในรอบ 2,550 ปีมานี้ คนที่บรรลุธรรมคงมีจำนวนเป็นแค่ธุลีของคนที่เวียนว่ายตายเกิดนับแสนล้านคน
โดยสรุปแล้ว ผมก็มีความสุขที่ได้ไปฟัง (เสพ) ธรรมะจากท่านติช นัท ฮันห์ ได้นำมาเป็นข้อคิด นับเป็นบุญที่ได้สัมผัส (ไกล ๆ) ด้วยสายตาตนเอง และแน่นอนก็คงต้องพยายามนำมาใช้และใช้อย่างต่อเนื่องไม่ปล่อยวางกับธรรมะที่ท่านได้ถ่ายทอดมาจากคำสอนขององค์ศาสดา - พระพุทธเจ้า
พิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ online ประชาไท มิถุนายน 2550 |