ทำเมืองให้
หลวม, ดีจริงหรือ
ผู้จัดการรายวัน วันอังคารที่
20 มิถุนายน 2549 หน้า 22
ดร.โสภณ
พรโชคชัย <1>
ประธานมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทษไทย <2>
ผังเมืองรวมฉบับใหม่ของกรุงเทพมหานครมีแนวคิดสำคัญหนึ่งก็คือ
การทำให้กรุงเทพมหานคร หลวม โดยกำหนดพื้นที่ก่อสร้างต่อพื้นที่ดิน
(floor-area ratio หรือ FAR) ต่ำลงจาก 10:1 แทบจะทั่วทุกพื้นที่
เป็นประมาณ 1-3:1 ซึ่งหมายความว่า ที่ดินแต่ละแปลงจะสร้างอาคารได้ขนาดเล็กลง
เมืองก็จะ หลวม
ทำไมจึงคิดให้เมือง
หลวม
ผมเคยเรียนถามผู้รู้ด้านผังเมืองที่มีส่วนในการร่างผังเมืองรวมฉบับนี้
ท่านให้เหตุผลเบื้องหลังไว้อย่างน่าสนใจมากว่า
ถ้าเมืองแออัดจะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนเสื่อมโทรมลง
เมืองก็ดูไม่สวยงาม ที่สำคัญเราต้องรักษาเมืองหลวงของเราไว้เพื่อชนรุ่นหลังด้วย
ไม่ใช่ใช้พื้นที่กันหนาแน่นไปหมด (แล้ววันหลัง
ผู้คนจะอยู่กันอย่างไร) นอกจากนี้ จะสังเกตได้ว่า
ผู้ที่ออกมาเรียกร้องและไม่ต้องการให้เมือง หลวม
ก็คือนักพัฒนาที่ดิน ที่มีผลประโยชน์เฉพาะหน้า
ดังนั้นในแง่หนึ่งท่านจึงว่าไม่ควรถือความเห็นของบุคคลเหล่านี้เป็นสำคัญ
แนวคิดข้างต้นนี้นับเป็นความหวังดี
และอาจถือเป็นการมองไกลไปข้างหน้า ให้สมกับเป็นการวางแผนโดยเฉพาะเพื่อคนรุ่นหลังได้มีโอกาสใช้พื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครให้ได้ประโยชน์ในอนาคต
อย่างไรก็ตามแนวความคิดข้างต้น จะสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่
เป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ ก็คงต้องมาพิจารณากันต่อไป
ย้ายไปรอบนอก
ผมยังได้คุยกับนักพัฒนาที่ดินหลายราย
ท่านบอกว่า ในเมื่อผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครกำหนดออกมาเช่นนี้
ก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นทางออกสำคัญก็คือการออกไปพัฒนาที่ดินรอบนอก
คือ ไปพัฒนาที่ดินในเขตปริมณฑล คือในจังหวัดนนทบุรี
ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาครและนครปฐม แทนที่จะเป็นในเขตกรุงเทพมหานคร
เพราะพื้นที่รอบนอกยังไม่มีผังเมืองที่เข้มงวดเช่นนี้
อย่างไรก็ตามหากในอนาคตผังเมืองของจังหวัดปริมณฑลเกิดคิดเช่นเดียวกับในเขตกรุงเทพมหานครอีก
เมื่อนั้นก็คงไม่รู้จะพัฒนาที่ดินที่ไหนได้แล้ว
การขยายตัวของเมืองออกสู่จังหวัดปริมณฑล
ยิ่งทำให้สาธารณูปโภคขยายตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เป็นการใช้สอยทรัพยากรอย่างขาดประสิทธิภาพ เช่น
กิจการประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ทางด่วน ระบบขนส่งมวลชน
ก็ต้องขยายการบริการออกไปเรื่อย ๆ ยิ่งกว่านั้น
ก็จะทำให้เราต้องพึ่งพิงรถยนต์มากขึ้นเพราะบ้านของคนส่วนมากจะอยู่ชานเมือง
ในขณะที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นเรื่อย ๆ อันเป็นผลให้ประเทศไทยต้องเสียดุลการค้ากับต่างประเทศเพิ่มขึ้น
รีบขอก่อสร้าง ทิ้งทวน
แห่ขอใบอนุญาตตึกสูงหนีผังเมือง
เดือนพฤษภาคมทุบสถิติ 630 ราย <3> นี่อาจถือเป็นอีกทางแก้หนึ่งของนักพัฒนาที่ดินก็คือ
การขออนุญาตก่อสร้างแบบ ทิ้งทวน ก่อนที่ผังเมืองใหม่จะประกาศใช้
เพื่อให้สามารถก่อสร้างได้ตามกำหนดผังเมืองเดิม
นี่แสดงว่า เจตนารมย์ของผังเมืองรวมที่ผู้วางผังคาดหวังไว้ให้เป็นเมืองที่
หลวม ไม่ได้เป็นจริงดังหวังเสียแล้ว
ความจริงการห้ามสร้างโน่นสร้างนี่
ทั้งที่แต่เดิมสร้างได้ คนอื่นที่แล้ว ๆ มาสร้างได้
ถือเป็นความไม่เท่าเทียมกัน ถ้าจะไปจำกัดอะไรกับใคร
ผู้ที่ถูกจำกัดสิทธิก็สมควรได้รับการชดเชยเช่นกัน
กรณีเช่นนี้ได้แก่ การห้ามก่อสร้างรอบพื้นที่สำคัญ
หรือตามริมถนนหลายสายในระยะ 15 เมตรแรกจากเขตทาง
เป็นต้น รายละเอียดการวิเคราะห์ในเรื่องนี้ดูได้ในบทความเรื่อง
อำนาจบาตรใหญ่ในการบังคับใช้ที่ดิน <4>
กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมมีไว้ฝ่าฝืน
ผมไม่ได้เห็นด้วยกับการฝ่าฝืนกฎหมาย
เพราะถือเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคลในการฝ่าฝืนกฎหมาย
เราต้องอดทนแก้ไขกฎหมาย แต่ไม่ใช่ไปฝ่าฝืนซะอย่างนั้น
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็มีกฎธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ว่า
ถ้าที่ใดก็ตามไม่มีความเป็นธรรม ที่นั่นกฎหมายก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์
ดูอย่างกรณีที่ดินเขตอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมในเขตกรุงเทพมหานครเป็นตัวอย่าง
ที่ดินประเภทนี้ในหลายบริเวณมีการก่อสร้างอาคารคล้ายตึกแถว
(ทั้งที่กฎหมายไม่ให้สร้าง) โดยแสร้งสร้างเป็น
บ้านเดี่ยว ให้แต่ละหลังห่างกันแค่คืบเดียว
สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นประจานผู้รับผิดชอบอยู่ตำตา
หรือตามบริเวณถนนที่บอกว่า
15 เมตรแรกห้ามก่อสร้างอาคาร (บางแห่งยกเว้นที่อยู่อาศัย)
ซึ่งถือเป็นความ ซวย ของผู้มีที่ดินติดถนนเป็นอย่างยิ่งที่ที่ดินของตนเองถูก
สาป แต่ความเป็นจริงในอีกแง่หนึ่งก็คือ เราต่างเห็นมีการก่อสร้างอาคารติดถนนเหล่านี้อยู่เนือง
ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เอาหูไปนา
เอาตาไปไร่ หรืออย่างไร
ลด FAR,
คิดถูกแล้วหรือ
ในเรื่องการทำให้เมือง
หลวม ด้วยการลด FAR 10:1 เป็น 1-3: 1 ในพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นก็ควรทบทวนเพราะเป็นการจำกัดสิทธิ
และใช่ว่าการที่เรากำหนดให้มี FAR สูง ๆ ในเขตชานเมือง
จะมีการก่อสร้างหนาแน่นเกิดขึ้น ในอดีตที่ผ่านมาก็ไม่มีให้เห็น
เพราะธรรมชาติของตึกสูง อาคารขนาดใหญ่ในเชิงพาณิชย์
ต้องอยู่รวมกันในเขตเมืองเป็นสำคัญ ทางแก้เช่นนี้อาจไม่พิจารณาให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
นอกจากนี้เมืองที่แออัด
เช่น นิวยอร์ค ปารีส เขาก็ทำให้สวยงามและน่าอยู่ได้เช่นกัน
ขึ้นอยู่กับการจัดการมากกว่า อาจสังเกตได้ว่า ในเมืองเหล่านั้นเขาสร้างโดยให้มีพื้นที่จอดรถน้อยกว่าในประเทศไทยเสียอีก
เพราะเขามีระบบขนส่งมวลชน ดังนั้นอาคารที่สร้างขึ้นจึงไม่เปลืองที่จอดรถ
แต่ยิ่งทำให้เกิดการใช้ที่ดินที่เข้มข้น เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น <5>
สำหรับชนรุ่นหลัง
ถ้าในอนาคตต้องการขยายเมืองเพราะหนาแน่นจนเกินไปแล้ว
ก็ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้เราควรเน้นการรักษาพื้นที่เกษตรกรรมไว้ก่อน
เพื่อที่เราจะไม่ขยายตัวเมืองออกไปอย่าง หลวม
จนเกินเหตุ ส่วนในกรณีนักพัฒนาที่ดิน ก็ใช่ว่าจะพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับผลประโยชน์ส่วนรวม
เขาให้บริการประชาชนในการจัดหาที่อยู่อาศัย ก็คงรู้และสะท้อนความต้องการของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง
ต้องรู้จริงถึงจะออกกฎหมายที่ดีจริง
ที่ผ่านมา
เราได้เลียนแบบหลายอย่างจากต่างประเทศโดยไม่ได้นำมาปรับใช้ก่อน
เช่น การมีวงแหวนสีเขียว ( green belt) เพื่อไม่ให้เมืองขยายออกไปรอบนอก
การสร้างแฟลตสำหรับคนจน และการจัดทำผังเมือง ฯลฯ
แต่สิ่งที่เลียนแบบโดยไม่ได้ศึกษาความเป็นจริงในสังคมให้แน่ชัด
ก็อาจไม่ใช่ทางออกและกลับเป็นการสร้างปัญหามากกว่า
การวางแผนเพื่อประเทศชาติและประชาชน
ควรคิดให้รอบคอบและทำให้ความคิดได้รับการพิสูจน์ที่ดีเสียก่อนที่จะนำมาใช้
หาไม่จะเป็นแบบ ตาบอดคลำช้าง |