องค์การบริหาร-พัฒนาที่ดินแห่งชาติ
หนังสือพิมพ์บิสิเนสไทย ปีที่ 5 ฉบับที่ 245 วันที่ 22-28 พฤษภาคม 2549
หน้า 23
ดร.โสภณ
พรโชคชัย <1>
ประธานมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทษไทย <2>
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทย
ควรมีองค์การบริหาร - พัฒนาที่ดินแห่งชาติเพื่อการจัดการ
การใช้ทรัพยากรที่ดินในฐานะอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเหมาะสม
และเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ทำไมจึงควรจัดตั้ง
จะสังเกตได้ว่าที่ดินในเขตเมืองมีการพัฒนาอย่างขาดประสิทธิภาพ
บางส่วนปล่อยรกร้างว่างเปล่า บางส่วนขาดการจัดระเบียบ
ทำให้ขาดการมีผังเมืองที่ดีอันจะส่งผลเสียต่อผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองในอนาคต
ในขณะเดียวกันการพัฒนาที่ดินของภาคเอกชนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรวบรวมที่ดิน
ซึ่งบ่อยครั้งก็มักใช้เวลาเนิ่นนาน หรือบางส่วนไม่ยินยอมขาย
เนื่องจากไม่จำเป็นต้องขาย ทำให้ที่ดินในเขตเมืองไม่ได้รับการพัฒนา
และเป็นการกีดขวางการพัฒนา การพัฒนาเมืองก็จะต้องขยายตัวในแนบราบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทำให้เมืองยิ่งขาดระเบียบยิ่งขึ้นต่อไป
ปกติแล้วการจะซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์
ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ในกรณีเพื่อการพัฒนาเมืองและการวางผังเมืองในเชิงรุก
แนวคิดใหม่ที่ควรพิจารณาก็คือทางราชการโดยองค์การพิเศษหนึ่งสามารถบังคับจัดซื้อบนพื้นฐานราคาตลาดโดยไม่เอาเปรียบใครและนำที่ดินมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม
แนวคิดแบบใหม่ที่ควรพิจารณา
อย่างไรก็ตามมาตรการเหล่านี้ยังไม่ได้มีการนำมาใช้ในประเทศไทยแต่การที่มีมาตรการข้างต้น
แต่คงให้เห็นว่า การถือครองที่ดินอาจไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะของปัจเจกบุคคล
แต่จะต้องสอดคล้องกับประโยชน์ของสังคมด้วย เราจะปล่อยให้เกิดการปล่อยปละที่ดินตามอำเภอใจหรือปล่อยให้มีการถือครองที่ดินไว้กีดขวางการพัฒนาโดยอ้างสิทธิส่วนบุคคลไม่ได้
การคำนึงถึงส่วนรวมเหนือส่วนตัวได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย
ๆ ดังจะเห็นได้ว่า ในกฏหมายอาคารชุด ผู้อยู่อาศัยไม่สามารถเลี้ยวสัตว์เลี้ยงได้เพราะจะเป็นการรบกวนผู้อื่น
หรือตามข้อกำหนดนิติบุคคลบ้านจัดสรรและอาคารชุด
ผู้อยู่อาศัยมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง
จะอ้างว่าตนเองไม่ได้อยู่อาศัยไม่ได้ เพราะทรัพย์สินของตนเองตั้งอยู่ในโครงการนั่นเอง
สำหรับในต่างประเทศนั้น
ในประเทศญี่ปุ่น ที่ดินใจกลางเมืองจะถูกปล่อยรกรางว่างเปล่าไม่ได้เลย
เจ้าของต้องทำประโยชน์บางอย่าง มาตรการนี้มีไว้เพื่อป้องกันการเก็งกำไรในที่ดินและกระตุ้นการใช้ที่ดินให้มีประสิทธิภาพ
อีกกรณีหนึ่งที่พบเห็นทั่วไปก็คือ
หลายประเทศมีมาตรการด้านภาษี เช่น ภาษีโรงเรือน
ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีและค่าธรรมเนียมโอน เพื่อไม่ให้ที่ดินถูกปล่อยรกร้างว่างเปล่า
หน่วยงานที่เคยมีมา
องค์การพัฒนาที่ดินแห่งชาติ
ควรเป็นหน่วยลงทุนที่เป็นองค์การมหาชนมีหน้าที่รวบรวมจัดการพัฒนาที่ดินในเขตเมือง
หรือ ในเขตชานเมืองเพื่อการพัฒนาเมือง แต่เพื่อไม่ให้เป็นการแข่งขันกับนักพัฒนาที่ดินภาคเอกชน
องค์การนี้เป็นการจัดสรรและพัฒนาที่ดินเพื่อเป็นการสร้างอุปทานที่ดินที่มีสาธารณูปโภคให้กับภาครัฐและเอกชน
ตัวอย่างองค์การที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ
ก็เช่น Urban Redevelopment Authority (www.ura.gov.sg)
ของสิงคโปร์ ที่มีหน้าที่ในการจัดการที่ดินเมืองของสิงคโปร์
หรือ Singapore Land Authoirty (www.sla.gov.sg)
ซึ่งมีหน้าที่ในการขายหรือให้เช่าที่ดิน ราชพัสดุ
เพื่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนี้ในมาเลเซียยังมีการเวนคืนที่ดินซึ่งสามารถใช้เพื่อการเกษตรกรรม
การอยู่อาศัย พาณิชยกรรม อุตสาหกรรมและการพักผ่อนด้วย <3>
ในประเทศไทยมีหน่วยงานที่มีลักษณะคล้ายกันเช่น
บจก.กรุงเทพธนาคม ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกรุงเทพมหานคร
(www.thanakom.co.th)
หรือ บจก.ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ (www.dad.co.th)
ในสังกัดกรมธนารักษ์ <4> เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหน่วยงานเหล่านี้ดำเนินการเฉพาะกิจการภายในหน่วยงานเป็นสำคัญ
ยังไม่มีขอบเขตรับผิดชอบในระดับชาติ
การหน้าที่ที่สำคัญ
องค์การบริหารและพัฒนาที่ดินแห่งชาติ
ควรมีหน้าที่สำคัญคือ การจัดหาที่ดินเพื่อการพัฒนาเมือง
โดยการซื้อที่ดินภาคเอกชนมาดำเนินการ หรือนำที่ดินของทางราชการมาจัดประโยชน์
ทั้งนี้สามารถดำเนินการประสานกับทางกรมโยธาธิการและผังเมือง
เพื่อให้การพัฒนาที่ดินเป็นไปตามผังเมืองรวมหรือผังเมืองเฉพาะ
การสร้างอุปทานที่ดินเพื่อการพัฒนาเมือง
หมายรวมถึงการจัดหาที่ดินเพื่อให้โครงการหมู่บ้านจัดสรร
ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า นิคมอุตสาหกรรม
ฯลฯ เช่น การจัดหาที่ดินพร้อมสาธารณูปโภคในย่านชานเมือง
ประมาณ 5,000 ไร่ เพื่อจัดสรรให้โครงการที่อยู่อาศัยหลายประเภทไปซื้อเพื่อพัฒนาโครงการขายแก่ผู้ซื้อบ้านต่อไป
การจัดหารที่ดินขององค์การนี้ไม่ใด้จัดขึ้นเพื่อมุ่งขายให้กับผู้ซื้อรายย่อย
การที่เจ้าของโครงการภาคเอกชนสามารถจัดหาที่ดินได้ในเวลาอันรวดเร็วจากการซื้อที่ดินจากองค์การนี้
ย่อมดีกว่าที่จะไปทะยอยรวมซื้อแปลงที่ดินเอง ทำให้ต้นทุนและเวลาลดลง
อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคด้วย
นอกจากนี้การที่มีการจัดหาที่ดินเพื่อการพัฒนาต่าง
ๆ อย่างมีการวางแผน จะเห็นได้ว่าในทุกวันนี้อาคารสำนักงานเกิดขึ้นทั่วไป
หลายอาคารตั้งอยู่เป็นเอกเทศ ขาดการรวมกลุ่ม ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้
สมควรอยู่รวม ๆ กัน จึงจะเกิดพลัง ทำให้เป็นศูนย์ธุรกิจ
ดังนั้นหากมีการจัดสรรที่ดินเพื่อการสร้างกลุ่มอาคารสำนักงานใจกลางเมืองพร้อมสาธารณูปโภคต่าง
ๆ ก็จะทำให้อาคารสำนักงานเกิดการรวมศูนย์ การพัฒนาอย่างกระจัดกระจายก็จะไม่เกิดขึ้นอีก
การนี้จะเป็นไปได้
จะต้องมีการออกกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้องค์การนี้สามารถบังคับจัดซื้อที่ดินได้
โดยอาจกำหนดให้ซื้อได้สูงกว่าราคาตลาด 30% เพื่อจูงใจให้ผู้ขายยินดีขาย
หรือจำต้องขายตามกฎหมายนี้ ผู้ไม่ยอมขายถือว่าเป็นการกีดขวางการพัฒนาเมือง
กรณีนี้อาจมองคล้ายเป็น
เผด็จการ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ เพียงแต่สิทธิส่วนบุคคลของคนจำต้องมีขอบเขตจำกัดเท่านั้น
นอกจากนี้เรายังสามารถใช้กลไกที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ
ทั้งการทำการประเมินค่าทรัพย์สินอย่างโปร่งใส การตรวจสอบจากองค์กรที่เกี่ยวข้องต่าง
ๆ ตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
มีวิสัยทัศน์และใช้นักวิชาชีพ
การที่จะสามารถตั้งองค์การเช่นนี้ได้
จะต้องมีรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งแสดงออกด้วยความมุ่งมั่น
- ผูกพัน (commitment) ต่อภารกิจการพัฒนาที่ดินเพื่อประเทศชาติโดยตรง
หากหวั่นไหวก็จะไม่ได้ทำอะไร เช่น รัฐบาลทั้งหลายในช่วงที่ผ่าน
ๆ มา เพราะถือว่า ทำดีไปแต่ถ้าประชาชนเข้าใจยาก
ก็อาจกลายเป็นประเด็นทางการเมืองให้ถูกโจมตีได้
จึงไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อชาติเลย
นอกจากนี้ปัจจัยแห่งความสำเร็จอีกประการหนึ่งก็คือ
การใช้นักวิชาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีความสามารถมาดำเนินการ
มีอิสระในการบริหารจริง ๆ ไม่ใช่ เด็กฝาก ไม่ใช้
เด็กเส้น หรือหาคนมา กินตำแหน่ง กลไกขององค์การนี้จึงจะแข็งแรงและสามารถบรรลุภาระกิจได้จริงในที่สุด |