เมกกาโปรเจ็ก
ควรเกิดด่วน
อาคารที่ดิน อัพเกรด ประจำวันอังคารที่ 6-13 มิถุนายน 2549 หน้า81
กรุงเทพธุรกิจรายวัน ฉบับพิเศษ วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2549 หน้า A1,
A4
ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
ประธานมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย <2> ตอนนี้การเมืองกำลังร้อนแรง
ทำให้รัฐบาลเลื่อนการประมูลโครงการ เมกกาโปรเจ็ก
(mega-projects) หรือโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคขนาดใหญ่
ออกไปก่อน นัยว่าเพื่อป้องกันข้อครหาเกี่ยวกับการโกงกิน
(เดี๋ยวฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจะหาว่า ผลักดันโครงการขึ้นมาเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ)
แต่ผมกลับมีความเห็น สวนกระแส ว่า เราควรเร่งสร้างสาธารณูปโภค
เช่น ทางด่วนหรือรถไฟฟ้ามากกว่า
เคยเสนอนายกฯ
ผมเคยทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่
29 มกราคม 2545 โดยสาระประการหนึ่งที่เสนอแนะต่อรัฐบาลก็คือการ
ส่งเสริมการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่
ซึ่งจะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในระยะยาว
ซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยส่งเสริมให้ต่างชาติมาลงทุนด้วยซ้ำ <3> หรือหากทุนภายในประเทศสามารถดำเนินการได้
ก็เป็นสิ่งที่ดี
การพัฒนาสาธารณูปโภค
ทำให้เกิดผลดีหลายประการ ทั้งการประหยัดการเผาผลาญน้ำมัน
ความมีประสิทธิภาพในการเดินทาง การประหยัดเวลา
การลดการขยายตัวของเมืองอย่างไร้ขอบเขตเพราะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มักจะเกาะตามรถไฟฟ้าเป็นสำคัญจึงเป็นการสร้างระบบผังเมืองและการใช้ที่ดิน
ตลอดจนการลดมลพิษจากควัน ฯลฯ
คุ้มสุดคุ้ม
หากนึกในแง่ของการก่อสร้างอาคารต่าง
ๆ ก็คือ
1. อาคารสำนักงานชั้นหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
มีพื้นที่รวมกันประมาณ 7,500,000 ตารางเมตร
2. แต่พื้นที่ส่วนกลางจะเป็นประมาณ
50% โดยประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ส่วนกลางจะเป็นพื้นที่จอดรถในอาคาร
ดังนั้นพื้นที่จอดรถในอาคารจะมีสัดส่วนถึงประมาณ
25% ของทั้งหมด หรือ 1,875,000 ตารางเมตร
3. หากมีรถไฟฟ้าอย่างเพียงพอ
พื้นที่จอดรถอาจลดลงเหลือเพียง 10% ของพื้นที่ก่อสร้าง
หรือ 750,000 ตรม. ทำให้ประหยัดพื้นที่จอดรถได้ถึง
1,125,000 ตารางเมตร
4.
ถ้าค่าก่อสร้างพื้นที่จอดรถเป็นเงินประมาณตารางเมตรละ
10,000 บาท ก็จะประหยัดไปถึง 11,250 ล้านบาท 5. ในอีกแง่หนึ่ง
หากพื้นที่จอดรถ 1,125,000 ตารางเมตรที่ประหยัดได้สามารถนำไปสร้างเป็นพื้นที่สำนักงาน
ซึ่งขายกันตารางเมตรละ 50,000 บาท ก็จะเป็นเงินรวมกันถึง
56,250 ล้านบาท
6. หากรวมอาคารโรงแรม
อาคารชุดราคาแพงที่อยู่ใจกลางเมืองและอาคารขนาดใหญ่พิเศษอื่น
ๆ ย่อมจะสามารถประหยัดได้อีกประมาณ 3 เท่าตัวของอาคารสำนักงาน
หรือประหยัดได้รวมกันเป็น 4 เท่าของข้อ 4 หรือเป็นเงิน
45,000 ล้านบาท หรือนำไปสร้างในเชิงพาณิชย์ได้เป็น
4 เท่าของข้อ 5 หรือรวมเป็นเงิน 225,000 ล้านบาท
7. อย่างไรก็ตาม
รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (ช่วงหัวลำโพง -
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ - บางซื่อ) มีระยะทางรวมกันประมาณ
20 กิโลเมตร <4> และมีมูลค่าโครงการประมาณ
115,812 ล้านบาท <5> แสดงว่า
ความต้องการที่จอดรถที่น้อยลงจากการมีรถไฟฟ้า ทำให้สามารถสร้างรถไฟฟ้าได้อีกถึง
2 เล้น
นี่ยังไม่รวมประโยชน์อื่น
ๆ ที่จะได้จากการสร้างระบบขนส่งมวลชนหรือทางด่วน
นอกจากนี้สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เมืองใหญ่ทั้งหลายล้วนจำเป็นต้องมีระบบขนส่งมวลชน
ทางด่วนและสาธารณูปโภคอันทันสมัยอื่น ๆ กรณีกรุงเทพมหานครจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้
ลองนึกภาพว่า ถ้ากรุงเทพมหานครมีระบบขนส่งมวลชนที่พรั่งพร้อม
รถก็มีความจำเป็นต้องใช้น้อยลง กรุงเทพมหานครอาจน่าอยู่ยิ่งขึ้นก็ได้
ดังนั้นการพัฒนาสาธารณูปโภคเช่นนี้ จึงนับเป็นแนวทางการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติจริง
เอาเงินมาจากไหน
การระดมทุนจากทุนภายในประเทศและต่างประเทศย่อมสามารถทำได้
ที่ผ่านมาก็เคยมีกลุ่มทุนในประเทศเช่น กลุ่มพาณิชชีวะพัฒนาดอนเมืองโทลล์เวย์ <6> กลุ่มกาญจนพาสน์พัฒนารถไฟฟ้าบีทีเอส <7> และเคยมีกลุ่มทุนต่างประเทศเช่น
กูมาไกกูมิ และลาวาลิน ฯลฯ ที่มาลงทุนทำสาธารณูปโภคในประเทศไทย
ดังนั้นการเปิดโอกาสให้ทั้งนักลงทุนจากภายในและจากต่างประเทศ
มาลงทุนในประเทศไทยที่มีศักยภาพดี ย่อมมีความเป็นไปได้สูง
อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็สมควรร่วมลงขันในการพัฒนาโครงการด้วย
เพราะหากขาดซึ่งการสนับสนุนจากรัฐบาล ก็มีโอกาสที่จะประสบความล้มเหลวได้เช่นกัน
อย่างในกรณีรถไฟฟ้า 3 สายของกรุงกัวลาลัมเปอร์
ก็ประสบความยุ่งยากทางการเงินเช่นกัน <8>
การลงทุนทำสาธารณูปโภคนี้เป็นการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล
เป็นการนำเม็ดเงิน การจ้างงานและเทคโนโลยีเข้ามาในประเทศ
จึงเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สมควรได้รับการส่งเสริมมากเป็นพิเศษ
และ
โปร่งใส-ไม่กลัวครหา
สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการก็คือ
การทำให้โปร่งใส โดยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายค้าน
ฝ่ายประชาชน หรือฝ่ายใด ๆ ก็ตาม สามารถตรวจสอบความถูกต้องโปร่งใสได้ในทุกขั้นตอน
ตั้งแต่การจัดทำแบบ การจัดการประมูล การทำสัญญา
การควบคุมการก่อสร้าง และการบริหารงาน อันจะทำให้การดำเนินการต่าง
ๆ ได้รับความเชื่อถือจากสังคมส่วนใหญ่
นอกจากนี้ยังต้องแจ้งข่าวสารและให้การศึกษากับประชาชนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง
ให้เกิดความเข้าใจ เช่น กรณีการขึ้นค่าทางด่วน
ช่วงแรกกี่ปี ค่าทางด่วนเที่ยวละเท่าใด และขึ้นเป็นระยะ
ๆ อีกกี่บาทเป็นเวลาอีกนานเท่าใด หรือประเด็นการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับผู้ลงทุน
เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ควรแจกแจงแต่แรก และนำเสนอให้ทราบกันเป็นระยะ
ๆ เพื่อป้องกันการก่อการประท้วงอันเป็นผลจากความเข้าใจผิด
การดำเนินการด้วยความโปร่งใส
ประกอบกับความสำเร็จของระบบสาธารณูปโภคทั้งหลายที่พิสูจน์ได้ตามกาลเวลา
ก็จะยิ่งทำให้การพัฒนาโครงการต่อ ๆ ไปได้รับการยอมรับยิ่ง
ๆ ขึ้น อุปสรรคต่าง ๆ ก็จะลดลง
|