ประชาธิปไตยในวงการอสังหาริมทรัพย์
ผู้จัดการรายวัน วันที่ 24 พฤษภาคม 2549 หน้า22
ดร.โสภณ
พรโชคชัย <1>
ประธานมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทษไทย <2>
พูดถึงประชาธิปไตย
อาจดูเหมือนเรื่องการเมืองของเหล่านักการเมืองไป
แต่ความจริงประชาธิปไตยไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น
ประชาธิปไตยเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนในสังคม และเป็นสิ่งที่ต้องมี
ต้องใช้และต้องสถิตย์เป็นเนื้อหาใจกลางของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและสร้างสรรค์
วันนี้เรามาลองดู ประชาธิปไตย <3> ในวงการอสังหาริมทรัพย์
ตั้งแต่ระดับวงการย่อย ระดับประเทศ จนถึงระดับนานาชาติ
นักวิชาชีพต้องมีประชาธิปไตย
ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินต้องมีความเป็นอิสระ
(independent) ในความเห็นทางวิชาชีพของตน จะให้นายจ้างมาสั่งซ้ายหัน
- ขวาหันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นหากมีบริษัทประเมินใดที่ซื้อได้ตั้งแต่เบอร์หนึ่งถึงเบอร์สุดท้าย
การบริการวิชาชีพนี้ก็ขาดความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญเป็นการทำร้ายวงการอื่น
เช่น การเงินการธนาคาร และเป็นผลเสียแก่เศรษฐกิจโดยรวมเข้าข่ายการประกอบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
แม้แต่ผู้ประเมินในสถาบันการเงิน
ในหน่วยราชการที่มีหน้าที่ทำการประเมินค่าทรัพย์สิน
ผู้ประเมินเหล่านี้ ก็ควรมีอิสระคล้ายผู้ตรวจสอบภายใน
และควรได้รับการคุ้มครองจากสภาวิชาชีพ สมาคมหรือองค์กรวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน
เพื่อไม่ให้ภาคส่วนธุรกิจใดนำวิชาชีพนี้ไปใช้ในทางฉ้อฉล
โดยการนี้วงการวิชาชีพใดก็ตาม
จะให้มีการผูกขาดการนำไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นบ่อเกิดของการฉ้อฉล
หรือแสวงหาผลประโยชน์เฉพาะตน นักวิชาชีพจะปล่อยให้เกิดปรากฏการณ์อย่างนี้ไม่ได้
ยกเว้นวิชาชีพใดพอใจกับการต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างโกง
นักพัฒนาที่ดินก็ต้องมีประชาธิปไตย
บางคนบอกว่าในวงการค้า
จะมีประชาธิปไตยได้อย่างไร เป็นเรื่องของมือใครยาวสาวได้สาวเอาต่างหาก
สัจธรรมข้อนี้ก็ดำรงอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะกิจการของสินค้าที่เป็นสังหาริมทรัพย์บางรายการ
เช่น น้ำอัดลม บุหรี่ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ การผูกขาดจะมีให้เห็นทั่วไป
รายเล็กรายน้อยแทบไม่มีเสียงอะไร และมาตรฐานของรายใหญ่
ก็คือมาตรฐานของโลกนั่นเอง
อย่างไรก็ตามอสังหาริมทรัพย์มีลักษณะที่ยึดติดกับทำเล
จึงทำให้ไม่มีใครสามารถครองงำหรือครองส่วนแบ่งในตลาดได้เกินครึ่ง
ตัวอย่างเช่น บริษัทมหาชนในตลาดทั้งหมด 40 แห่ง
มีส่วนแบ่งตลาดอสังหาริมทรัยพ์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมกันเพียงหนึ่งในสามของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด
และถ้ายิ่งพิจารณาจากจำนวนหน่วยขายทั้งหมด บริษัทมหาชนมีส่วนแบ่งรวมกันเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้น <4>
ดังนั้นจึงไม่มีใครเสียงดังกว่าใครนัก
สมาคมการค้าของนักพัฒนาที่ดินทั้งหลาย จึงต้องเป็นประชาธิปไตย
(ซึ่งก็เป็นอยู่แล้ว) และต้องเป็นตัวแทนที่แท้จริงของนักพัฒนาที่ดินทั้งมวลด้วย
เพราะในปัจจุบันนักพัฒนาที่ดินทั้งหมดเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีถึง
700 ราย <5> (แต่เดิมในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ
2540 มีถึง 2,000 ราย) อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสมาชิกของสมาคมก็ยังมีไม่ถึงหนึ่งในสามของทั้งหมด
เสมอภาคคือทุกคนมีโอกาสเท่ากัน
เสมอภาคคือทุกคนมีโอกาสเท่ากัน
แต่ใครจะได้จะเสียก็อยู่ที่ศักยภาพของตนเอง จะปล่อยให้อยู่ที่การได้รับข้อมูลที่มากน้อยลดหลั่นกันตามการผูกขาด
- ครอบงำไม่ได้ ตัวอย่างเช่น หากนาย ก. เป็นผู้แทนสมาคม
ข. ไปเป็นกรรมการขององค์กร ค. ที่ได้ทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
นาย ก. อาจได้รับรายงานวิจัยฉบับเต็มมาศึกษาในรายละเอียด
อาจเผยแพร่ข้อมูลให้กรรมการบริหารในสมาคม ข. บางท่านหรือทั้งหมด
แต่สมาชิกทั่วไปอาจไม่ทราบข้อมูลทั้งหมด และเมื่อองค์กร
ค. เผยแพร่ข้อมูล ก็เผยแพร่เพียงบางส่วน เช่น บทสรุปสำหรับนักบริหาร
เอกสารฉบับเต็มมักไม่แจกโดยอ้างว่าเปลืองค่าจัดทำเพียงไม่กี่ร้อยบาท
ทำให้นักวิชาชีพหรือนักพัฒนาที่ดินอื่นไม่สามารถทราบข้อมูลได้ครบถ้วน
อันทำให้เกิดความได้เปรียบ - เสียเปรียบ หลักสำคัญในที่นี้ก็คือ
ทุกคนต้องได้รับข้อมูลที่เท่าเทียมกัน เพียงแต่ใครจะไขว่คว้าโอกาสทางธุรกิจได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์และศักยภาพของตน
การยึดถือในหลักสำคัญนี้จึงจะสะท้อนความเป็นประชาธิปไตย
ต้องแยกแยะภาพลวงตา
การเป็นกรรมการสมาคมถือเป็นการอาสามาทำงานเพื่อส่วนรวมตามสัญชาตญาณผู้นำ
แต่ไม่ใช่การ เสียสละ เป็นแน่แท้ เพราะตนเองก็ได้รับเกียรติตามสมควรด้วย
การอ้างความเสียสละหรือสร้างระบบอุปถัมภ์ จึงเป็นสิ่งที่น่าเคลือบแฝงถึงประโยชน์ซ่อนเร้นบางประการได้
ในสังคมแห่งความโปร่งใส จะมาอ้างความดีส่งเดชไม่ได้
ยกเว้นจะสละเงินส่วนตัวออกมาบำเพ็ญประโยชน์ก็อีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง
ก็จะมีคนจำนวนหนึ่งพยายามที่จะมีตำแหน่งเป็นกรรมการสมาคม
เพื่อรับชอบแต่ไม่รับผิดชอบ บางครั้งอาจกีดขวางความเจริญในทำนอง
มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ บ้าง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากสมาชิกทุกคนมีการตื่นตัวและมีส่วนร่วมในบรรยากาศประชาธิปไตย
ซึ่งจะทำให้การครอบงำต่าง ๆ น้อยลงทั้งจากผู้มีอิทธิพลภายในหรือภายนอกองค์กร
เช่น ฝ่ายการเมือง เป็นต้น
ในระดับสากลก็ต้องการประชาธิปไตย
ในโลกนี้ยังไม่มี
องค์การสหประชาชาติ ในวงการอสังหาริมทรัพย์ สมาคมต่าง
ๆ ที่ตั้งขึ้นก็อาจเป็นสมาคมที่ใหญ่มาแต่แรก เช่น
Royal Institution of Chartered Surveyors (RICS) <6> จากสหราชอาณาจักร
หรือสมาคมที่มีตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมบ้าง
เช่น FIABCI <7> ซึ่งผมมีฐานะเป็นอุปนายกสมาคม
FIABCI ในประเทศไทย แต่สมาคมเหล่านี้เป็นตัวแทนของทุกภาคส่วนหรือไม่
RICS
ตั้งขึ้นในสหราชอาณาจักร เป็นผู้นำวิทยาการด้านอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง
และพยายามขยายตัวไปทั่วโลก ในแง่หนึ่งผู้คนในท้องถิ่นก็หวังใจที่จะเป็นสมาชิกเพื่อจะได้
ยืด ได้ในทางสากลบ้าง ผมเองก็ได้รับเกียรติเป็นสมาชิกของสมาคมนี้
RICS ก็มีสาขาอยู่ในประเทศต่างๆ โดยให้สมาชิกที่ประจำการอยู่ในประเทศนั้นๆ
จัดตั้งเป็นชมรมสาขา แต่ในอีกแง่หนึ่ง RICS ก็หาได้มีผู้แทนนักวิชาชีพที่เป็นผู้แทนของประเทศนั้นๆ
เป็นสมาชิกหรือมีสิทธิออกเสียง และถ้า RICS จะเป็นองค์กรของนักวิชาชีพทั่วโลก
ก็อาจต้องเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นสากลจริงๆ
ส่วนกรณี
FIABCI แม้มีองค์กรสมาชิกจากสมาคมท้องถิ่นในประเทศประเทศต่าง
ๆ ทั่วโลก แต่บางสมาคมก็อาจไม่ได้เข้าร่วม สมาคมที่เข้าร่วมก็อาจไม่ได้เป็นผู้แทนของนักวิชาชีพในประเทศนั้น
ๆ โดยตรง
ดังนั้นความร่วมมือในด้านวิชาชีพระดับสากล
จึงต้องอาศัยองค์กรที่เป็นตัวแทนของท้องถิ่นโดยตรง
และทำให้องค์กรสากลนี้มีความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ
การดำรงอยู่โดยไม่ใช่ตัวแทนของนักวิชาชีพหรือผู้ประกอบการส่วนใหญ่
จึงไม่สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีพลังเท่าที่ควร
และมีโอกาสที่จะถูกครอบงำโดยองค์กรสมาชิกที่ใหญ่กว่า
หรือผู้นำที่มีอิทธิพลมากกว่านั่นเอง และการนี้จึงไม่ได้มุ่งหวังประโยชน์ต่อผู้บริโภค
องค์กรนานาชาติด้านอสังหาริมทรัพย์
ควรมีการประชุมสมาคมนักพัฒนาที่ดิน การประชุมสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน
สมาคมบริหารทรัพย์สิน และอื่น ๆ ที่เป็นตัวแทนของแต่ละประเทศจริง
และยังควรมีการประชุม ผู้คุมกฎ ( regulators)
ของแต่ละประเทศ (เช่น กรมที่ดิน กลต. สคบ.) สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อ
สถาบันการศึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้
และที่สำคัญเพื่อร่วมกันออกมาตรการใหม่ ๆ ในการควบคุมการบริการ
การค้าและวิชาชีพอย่างจริงจัง
เพื่อประโยชน์ของทุกคน
การทำให้ทุกภาคส่วน
ทุกระดับมีความเป็นประชาธิปไตย จะยังประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
โดยเฉพาะผู้บริโภคสินค้าและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ในอันที่จะได้รับบริการที่ดีและได้รับความคุ้มครอง
ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและผู้ให้บริการอื่น
ๆ ในวงการอสังหาริมทรัพย์ เข้าทำนอง win-win แก่ทุกฝ่าย
ยกเว้นพวกมิจฉาชีพหรือผู้มีวาระชั่วร้ายซ่อนเร้น |